Cover

1

 

 

 

 

 

 

                1.เรื่องของสตั้มปี้

เวลา 14.41 น
ท่วงทำนองที่จักจั่นขับขานห่มคลุมไปทั่วพื้นป่าถูกแทรกด้วยเสียงผลกระท้อนหล่นลงพื้นเป็นระยะ และทุกๆนาที เสียงนาฬิกาจับเวลาก็จะดังขึ้น และดังอยู่อย่างนั้น 10 วินาที และนานๆทีจะได้ยินเสียงนกระวังไพรกู่ร้องและเสียงลิงกัดกัน
ลิงตัวที่ผมนั่งบันทึกพฤติกรรมนอนหลับมาครบ 30 นาทีแล้ว หน้าร้อนลิงจะใช้เวลาในการพักผ่อนมากขึ้น ประเภทนอนเหยียดขาเหยียดแข้งเต็มที่บนคาคบนานๆ แต่พวกเจ้าตัวเล็กยังคงพักผ่อนด้วยการเล่นซนเหมือนเดิมทุกฤดู จากที่ยืนและเดินทำงานทั้งวันมาตลอด ก็มีหน้าร้อนนี่แหละที่จะมีโอกาสได้นั่งบ้าง แถมบางคราวนั่งนานเกินจนเกือบถูกความขี้เกียจเล่นงาน
อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย, เสียงอืออึ้งดังสนั่นระรัวทั่วแผ่นฟ้า ทั้งที่ความเฉิดฉายของแสงตะวันยังคงเจิดจ้าร้อนแรงตามที่ควรจะเป็นจากหน้าปัดนาฬิกา สายลมไร้รูปร่างหากแต่มีตัวตนพลิ้วพัดสะบัดพุ่มใบบนเรือนยอดให้กิ่งก้านสะท้านโอนเอน
 เหล่าจักจั่นยังคงตะเบ็งเสียงแข่งกันอย่างไม่อ่อนล้าโรยแรงหรือครั่นคร้ามต่อเสียงจากเบื้องบน ไม่มีลีลาลวดลายใดใดในสุ้มเสียงที่เซ็งแซ่ มีแต่ความต่อเนื่องยาวนานเพื่อบรรลุเป้าหมายแห่งชีวิต แล้วล้มหายตายจากไป
ลิงบางตัวขะมักเขม้นกับการเก็บผลไม้กิน แต่อีกหลายตัวกลับขมีขมันกับการนั่งหลับนอนหลับ
ไม่นานนัก สิ่งที่ร่วงกระทบพื้นให้เกิดเสียงก็เปลี่ยนจากผลไม้กลายเป็นเม็ดฝน
 ผืนป่าที่ยังคงเฉอะแฉะจากความเปียกปอนของค่ำคืน เริ่มกระบวนการเก็บกักความชุ่มเย็นอีกครั้ง
เม็ดเหงื่อที่ซิบซิบอยู่กลางหลัง เป็นเรื่องจิ๊บจิ๊บไปเมื่อสายฝนเริ่มเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา และถึงแม้นว่าผมจะซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้ากันฝนผืนหนาแล้ว ก็ยังรับรู้ได้ถึงขนาดเม็ดฝนที่ใหญ่อย่างไม่ธรรมดา
ฝนหนักอย่างนี้ นึกถึงสภาพลิงแต่ละตัว ที่แม้นจะหาที่หลบเร้นดีเพียงใดก็ตาม อย่างไรเสียคงไม่พ้นต้องเปียกปอนสะบักสะบอมเป็นแน่  และที่เคยได้ยินมาว่า เวลาฝนตก พวกลิงจะเก็บกิ่งไม้ใบไม้มาทำเป็นหลังคาหลบฝน แต่จะขึ้นไปนั่งบนหลังคานั้นแทน ผมยังไม่เคยเห็นสักครั้ง
หลายต่อหลายครั้งที่ก่อนฝนตกผมยังอยู่กับลิงเกือบทั้งฝูง แต่พอฝนราเม็ด ลิงเกือบ 60 ตัว จะเหลือให้เห็นเพียงไม่กี่ตัว (ก็ตัวที่ใช้เป็นเป้าสายตาท่ามกลางสายฝน- ก็แค่นั้น) แอบเดินทางหนีกันระหว่างฝนพรำ ทำกันได้ลงคอ
อ๋อ ใช่ครับ ลิง 55 ตัว จำได้ทุกตัว และทุกตัวก็มีชื่อเรียกขานอย่างไพเราะเพราะพริ้ง อยากรู้ไหมครับว่า ลิงตัวแรกในฝูงที่เราจำกันได้ คือตัวไหน งั้น ผมคงต้องย้อนกลับไปถึงตอนที่เราเริ่มมาทำงานกันใหม่โน้น…
ในขวบปีแรกที่เราเริ่มศึกษาวิจัยพฤติกรรมทางสังคมของลิงวอกภูเขาหรือลิงอ้ายเงี๊ยะ งานแรกที่ต้องทำให้สำเร็จก่อน คือ การหากลุ่มลิงและทำให้ลิงคุ้นเคย คุ้นเคยถึงขนาดที่เราสามารถเดินตามก้นเก็บบันทึกข้อมูลได้
ในช่วงแรกของการทำงาน แม้นจะขึ้นชื่อว่า ไปตามลิง แต่ส่วนใหญ่ จะเป็นการเดินชมนกชมไม้เสียมากกว่า เพราะเราแทบไม่เห็นลิงเอาเสียเลย แต่ก็ถือว่าเป็นการเรียนรู้เส้นทางในพื้นที่และภูมิประเทศไปในตัว
หลายเดือนผ่านไป เราได้รับรู้ว่า ในพื้นที่ศึกษานั้น มีลิงอ้ายเงี๊ยะอาศัยอยู่หลายกลุ่ม (เช่นกันกับลิงกัง ค่างแว่นถิ่นเหนือ ชะนีมือขาว ด้วย) เพราะหลายครั้งที่เราแยกกันค้นหา กลับเจอลิงอ้ายเงี๊ยะ ในเวลาเดียวกัน แต่อยู่คนละพื้นที่ ซึ่งแสดงว่ามันเป็นคนละฝูงกัน อันจะทำให้เราเสียเวลาอย่างมากหากต้องติดตามและทำให้ลิงคุ้นเคย 2-3 กลุ่ม ดังนั้นเราจะต้องพยายามติดตามให้ได้ฝูงเดิมตลอด แต่จะทำอย่างไรให้รู้ ?ว่า ฝูงที่เราขึ้นเขาลงห้วย มุดเครือไม้ บุกพงหนาม และกำลังซุ่มติดตามดูอยู่ เป็นฝูงเดียวกันกับเมื่อหลายวันก่อน
เหมือนฟ้าจะเป็นใจหรือเจ้าป่าเจ้าเขาช่วยเหลือ ให้เราพบกับ ผู้ช่วยให้รอด- ลิงตัวนั้น
ลิงแขนด้วน ที่มักจะหยุดหันหน้ามาขู่เราทุกครั้งที่เห็นเราเพียงใบหูและขนคิ้ว ก่อนจะไต่ตามกิ่งไม้กระโดดหนีไปอย่างคล่องแคล่ว, เหมือนลิงปรกติทั่วไป ในตอนแรกเราก็ยังไม่แน่ใจ ว่า ลิงตัวนั้นแขนด้วนจริงหรือเปล่า หรือเพียงแค่ความผิดพลาดจากเหลี่ยมมุมต่างๆของการมองจากระยะไกลเท่านั้น
แต่นานวันเข้า ทุกคนต่างลงความเห็นว่า ด้วนจริงๆ-แขนด้านซ้ายมีเนื้อส่วนข้อศอกขึ้นไปเท่านั้น
ดังนั้น ชื่อเรียกขานสำหรับ เจ้าลิงตัวนั้น, ตัวที่ใครเห็นก็ต้องจำได้, จึงเกิดขึ้น
 สตั้มปี้ Stumpy
ซึ่งต่อมาเราก็ใช้ชื่อนี้เป็นชื่อฝูงด้วย ฝูงสตั้มปี้(เจ้าตัวคงจะภูมิใจเป็นแน่ หากได้รับรู้ว่า ตั้งชื่อฝูงตามชื่อของมัน ถึงแม้นมันจะไม่ได้เป็นผู้ปกครองฝูงก็ตาม)
เมื่อเรามีมุดหมายในการติดตามฝูงลิงแล้ว พัฒนาการของการทำงานก็เริ่มไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างน่าพอใจ จากการตามได้วันละชั่วโมง ก็เป็นหลายชั่วโมง เพิ่มเป็นวัน แล้วก็เป็นหลายวัน จนเป็นเดือน
สมาชิกในฝูงหลายตัวเริ่มคุ้นเคยกับเรา และเราเริ่มจดจำลิงได้มากขึ้น แล้วชื่อไพเราะมากมายก็ตามมา
ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับ ความโดดเด่นเป็นสง่าของลิงแขนเดียว ผู้เป็นดั่งกุญแจแห่งความสำเร็จ
    แล้วตกลง สตั้มปี้ เป็น ตัวผู้หรือตัวเมียกันแน่ เรายังตอบกันไม่ได้ เพราะยังไม่เห็นจะจะสักที
    แต่อีกไม่นานคงจะได้รู้ เพราะตอนนี้ เราขยับมาเดินตามฝูงลิงใกล้มากขึ้นกว่าเดิม, มากแล้ว
เมื่อก่อนเป็นร้อยเมตรและอยู่บนเรือนยอด มาเดี๋ยวนี้ 20 กว่าเมตร แถมอยู่ต่ำๆ
    เราคุ้นเคยกันขึ้นทุกวัน
    แล้วผมก็เห็น, ไม่สิ ผมไม่เห็นไอ้จู๋ของสตั้มปี้ เธอเป็นตัวเมีย และดูจากลักษณะภายนอกคงจะยังเป็นสาวและไม่เคยมีลูก เพราะหัวนมยังเห็นไม่ชัดเจน ถึงแม้ตอนนี้ใบหน้าเริ่มจะมีสีชมพูแต่งแต้มบ้างแล้ว (ลิงตัวเมียเต็มวัยหน้าจะมีสีแดง) และอีกอย่าง เธอยังเล่นกับพวกเด็กๆอยู่
    หลายต่อหลายครั้งที่ผมได้เห็น, หลังจากได้ยินเสียงลิงทะเลาะกัน หนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายประจำวันที่วิ่งหนีออกไปจากเวที, จะต้องมี สตั้มปี้ ด้วย
    ลำพังการใช้ชีวิตด้วยแขนเดียวมือเดียวก็ลำบากมากแล้ว ยังจะมาโดนรังแกจากพวกที่มือไม้ครบอีก โดยเฉพาะพวกเด็กโตที่กำลังห้าว และพวกเด็กเล็กที่นึกสนุกอย่างลองทำตาม ส่วนพวกตัวโตแล้ว นานๆครั้งถึงจะมีบ้าง ทำให้เวลาหาอยู่หากิน เธอจะต้องขยับออกมาจากแกนกลางของแหล่งอาหารสักหน่อย ซึ่งอาจจะอิ่มน้อยกว่า แต่ก็เจ็บตัว เครียดหรือเหนื่อยน้อยกว่าเช่นกัน
    แต่เธอก็ไม่ได้อยู่ในลักษณะห่างเหินนั้นมากมายนัก เพราะเวลาพักผ่อนจับคู่ทำความสะอาดให้กัน ทั้งเด็กและตัวเมียอื่นๆก็มาปฏิสัมพันธ์กับเธออยู่เรื่อยๆ โดยมี ยายไวท์ตี้ Whitey ลิงตัวเมียเต็มวัยขนเหลืองจนออกขาวเป็นตัวที่ดูสนิทกับสตัมปี้มากสุด
    เมื่อปีก่อนนอกจากเพศเดียวกันที่ให้ความใส่ใจแล้ว หนุ่มๆก็เช่นกัน แวะเวียนมาเจ๊าะแจ๊ะกับเธอบ่อยขึ้น (ก็เธอเริ่มเป็นสาวแล้ว)
    2 ปีก่อนนั้น เธอเดินเข้าไปหันก้นกระดกหางให้หนุ่มตัวไหน เค้าก็มองดูเฉยๆ แล้วก็เดินจากไป
    แต่จนแล้วจนรอด ปีที่แล้วแม้นว่าจะมีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่มายุ่งวุ่นวายกับเธอตลอดช่วงฤดูผสมพันธุ์ ท้องของเธอก็ไม่ขยายขนาดขึ้นมาเมื่อหน้าร้อนมาเยือน ปีนั้น ลิงตัวเมีย 8 ตัวมอบสมาชิกใหม่ให้กับฝูง โดยแบ่งเป็นพวกมีจู๋กับไม่มี จำนวนเท่ากัน อย่างกับนัดแนะกันไว้
    ผมก็ได้แต่จินตนาการถึงการเลี้ยงลูกด้วยแขนเดียวของสตั้มปี้ ไหนจะปีนป่าย ไหนจะโอบอุ้มลูกอ่อน(แต่ลูกลิงที่เพิ่งคลอดเพียงวันเดียวก็สามารถเกาะท้องแม่แน่นแล้ว จะมีเพียงบางจังหวะเท่านั้นที่ต้องกระชับตัวลูก) คงจะเป็นความทุลักทุเลของความเป็นแม่ที่ชวนน่าติดตามมากทีเดียว
(แม่ลิงเลี้ยงลูกตามลำพังตัวเดียว พ่อลิงไม่ช่วยเลี้ยง เพราะ ไม่รู้ว่า ใครเป็นลูกเป็นพ่อใคร)
    เลี้ยงลูกลิงด้วยมือเดียว- หนักหนา,เหน็ดเหนื่อย แต่คงงดงามและน่าจดจำ
    ผมคิดเอาเองว่า ถ้าสตั้มปี้มีลูกเป็นตัวผู้ ที่สามารถอยู่รอดเติบโตในช่วงแรกๆของชีวิต โตไปเจ้าหนูนั้นจะต้องแข็งแกร่ง จนสามารถเป็นจ่าฝูงได้อย่างแน่นอน หรือไม่หากเป็นตัวเมีย ก็คงจะแข็งแกร่งไม่แพ้แม่เช่นกัน-ผมคงอ่านนิยายมากไปหน่อย
    จำนวนสมาชิกในฝูงมีเพิ่มมีลด ลูกลิงเกิดใหม่คือปัจจัยในการเพิ่มจำนวนที่สำคัญ ส่วนการลดนั้นมีทั้งการตายและการหายตัวไป(ทั้งแบบไปแล้วไปเลย-ย้ายฝูงและแบบไปกลับ-ปลีกวิเวกหากินตามลำพังหรือกลุ่มย่อย ซึ่งเป็นตัวผู้เท่านั้น) 
    แต่ สตั้มปี้ แขนเดียวผู้ทรนงยังคงอยู่กับฝูงเรื่อยมา
    เมื่อหน้าหนาวเข้ามาแตะมือเปลี่ยนฤดูกาลกับหน้าฝนอีกครั้ง ช่วงเวลาสำคัญของการดำรงเผ่าพันธุ์ก็เริ่มต้นเช่นกัน ตามปรกติลิงตัวเมียจะมีลูกปีเว้นปี ดังนั้นตัวไหนที่ท้องแบนในปีที่แล้ว มาปีนี้ จะเนื้อหอมเป็นพิเศษ (เนื้อหอมกับตัวมีกลิ่นคาว เป็นคนละความหมายเดียวกัน)
    เมื่อปีที่แล้ว ตัวเมียรุ่นราวคราวเดียวกับสตั้มปี้(สาวแรกรุ่น) ก็กลายเป็นคุณแม่มือใหม่ไปสองตัว ปีนี้สตั้มปี้คงหมายมั่นปั้นมือ(ข้างเดียว) ว่าจะต้องมีลูกกับเค้าให้ได้-เราคิดกันเอง
    ผมอยากบอกว่าปีนี้มีลุ้นกว่าทุกปี เพราะอะไร ก็แม้แต่ จ่าฝูง-เจ้าร็อกกี้ Rocky ยังเฝ้าเดินตามเธออยู่เกือบอาทิตย์ (ลิงตัวผู้จะตามลิงตัวเมียที่สนใจมากเพียงตัวเดียว หลายๆวัน เพื่อให้แน่ใจในการผสมพันธุ์-ถ้าได้เห็น จะรู้ว่า มันเดินตามกันจริงจังแค่ไหน) อีกทั้งตัวผู้หลายตัวที่แวะเวียนเข้ามาหาสาวเจ้า ถึงขนาดบางครั้งเกิดหึงหวงกัน กัดเธอจนเลือดสาดก็มี
    จากการสังเกตดูในปีนี้ เธอมีอะไรกับหนุ่มๆมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว,มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
    ช่วงผสมพันธุ์เป็นช่วงที่ลิงมีอารมณ์รุนแรงที่สุด มีการทะเลาะเบาะแว้งมากที่สุด พบเจอบาดแผลได้บ่อยที่สุด ก็เรื่องอย่างนั้น ใครอยากจะยอมให้ง่ายๆละครับ
    หมดหน้าหนาวความดุเดือดพลุ่งพล่านของการแก่งแย่งก็ลดลง ที่เหลือก็คือการรอคอยความสำเร็จ ที่แต่ละตัวได้ลงทุนลงแรง ทุ่มเททั้งกายใจ ทั้งเลือดตกยางออกและขุ่นข้องขัดใจกัน
    เมื่อความอบอุ่นเริ่มมากระแซะความเหน็บหนาวให้เก็บข้าวของออกเดินทางตามฤดูกาล เราก็ได้เห็นท้องขาวๆของลิงตัวเมียเริ่มป่องขึ้นเช่นกัน แต่ที่ผมเฝ้ารอ คือท้องของสตั้มปี้
    แล้วเวลาก็ค่อยๆคล้อยเคลื่อนเลื่อนไป
    จนวันหนึ่ง เราก็ถามกันว่า คิดว่าท้องของสตั้มปี้ใหญ่ขึ้น บ้างไหม
    ทุกคนลงความเห็นว่า –ใช่
    ใช่แล้ว สตั้มปี้ ท้อง และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราแน่ใจคือ เต้านมที่ใหญ่ขึ้นและหัวนมสีชมพูอ่อนๆ นั้นแหละ สัญลักษณ์ของการจะเป็นแม่
    นับวันท้องเธอยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ  มาตอนนี้เธอไปไหนมาไหนช้าลง ค่อยๆอุ้ยอ้ายๆไต่ขึ้นแล้วค่อยๆต้วมเตี้ยมๆไต่ลง และก็นอนพักผ่อนบ่อยมากขึ้น
    ผมไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้เห็น วันนี้ วันที่สตั้มปี้ท้องและกำลังจะให้กำเนิดลูกน้อย
    พวกเราคนไหนที่เห็นลูกลิงก่อนมีสิทธิ์ตั้งชื่อลูกลิงตัวนั้น แต่ผมไม่อยากเป็นคนคนนั้น เพราะลูกลิงที่หายและตายไป ล้วนแล้วแต่เป็นลิงที่ผมตั้งชื่อให้ทั้งนั้น ผมอยากให้ลูกของสตั้มปี้ โตและแข็งแกร่ง อย่างน้อยจะได้ดูแลแม่ แต่ถ้าจะให้ดี ก็ต้องก้าวไปให้ถึงจ่าฝูงเลย ให้สมชื่อ ฝูงสตั้มปี้
    ผมยืนยิ้มขณะมองดูสตั้มปี้นอนเอกเขนกบนกิ่งไทรเมื่อหลายวันก่อน



เวลา 15.41น
    ฝนเริ่มซาลงแล้ว และก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ลิงทั้งหลายไปอยู่ที่ไหนกัน ที่มองเห็นก็มีเพียงพวกเจ้าตัวเล็กๆ สามสี่ตัวที่นั่งกอดกันกลมในพุ่มไม้ตรงหน้า เม็ดฝนยังคงเปาะแปะลงมาเรื่อยๆ
    ผมหันหน้าหันหลัง สอดส่ายสายตามองหาลิงตัวอื่นๆ โน่น นั่งเปียกอยู่ตรงนั้นอีกตัวแต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร เวลาเปียกฝนขนลู่ดูยากว่าใครเป็นใคร และนั่น แม่ลูกสองคู่เบียดเสียดเจียดไออุ่นกันบนกิ่งใหญ่ใบหนา
    จริงๆแล้วทั้งฝูงก็ไม่ได้ไปไหนไกลจากจุเดิมก่อนฝนตกนัก เพียงแต่พยายามหาที่หลบฝนที่คิดว่าดีที่สุดเท่านั้น แล้วก็เงียบเสียงลง จึงทำให้ดูเหมือนว่าบางทีลิงทั้งฝูงหายไปกับสายฝนพรำ เพราะเมื่อมีลิงบางตัวร้องหาเพื่อน หลายๆตัวจะร้องตอบกลับมาจากที่ซ่อนกายซึ่งไม่ไกล
    แต่เดี๋ยวก่อนนั้นไง สตั้มปี้ นั่งอยู่กับลิงน้อยอีกตัว เปียกปอนยังน้อยไปหากให้บรรยาย
    แล้วฝูงลิงก็เริ่มเคลื่อนคาราวานหากินต่อไป กับเสียงเจี้ยวจ้าวๆทักทายกันหลังฝน
    เฮ้ย! ทำไมมันดูแปลกตาไป หรือเพราะเปียกฝน
    หรือเพราะผมไม่ได้เข้ามาทำงานกับฝูงสตั้มปี้นาน (เรามีลิงกังอีกฝูงที่ต้องตามและทำให้คุ้น) แต่มันไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดนั้น
    …ฉิบหาย!
…เวรแล้ว!
ท้องของสตั้มปี้ แฟบลงไปมากเลย เมื่อหลายวันก่อนยังใหญ่เท่าลูกแตงอยู่เลย แล้วทำไม?แล้วทำไมวันนี้ กลับหดเล็กลงมาเหลือแค่นั้น มันเปลี่ยนไปมากจริงๆ มากจนผมตกใจและไม่อยากคิดต่อไปถึงเหตุผลที่ทำให้มันแฟบลงอย่างนั้น
ให้ตายสิ มันมีอะไรอื่นได้อีกล่ะ?
เธอทำลูกหล่นพื้น เธอแท้งลูก หรือจะเรียกว่าอย่างไรให้น่าฟังตามหลักวิชาการ ก็คงไม่ต่างกัน คือเธอจะไม่มีลูก
ผมเดินตามดูเธอให้ชัดๆ จนแน่ใจ จนแน่ใจว่า เธอท้องแฟบจริงๆ
หมดกัน, ผมคิดแทนเธอในความรู้สึกลึกของความสูญเสีย เป็นลิงแขนเดียวที่กำลังดีใจที่จะได้ลูก แต่กลับมาใจสลายที่ลูกหายไปจากท้องจากอ้อมอก ถ้าเป็นคนคงจะเศร้าคงจะโศกไปนาน
หนึ่งปีที่เฝ้าคอย หนึ่งปีที่เฝ้ารอ
ผมยืนนิ่งใคร่ครวญอยู่ในความเหน็บหนาว
แต่แล้วก็ต้องสะดุ้ง เมื่อมีใครบางตัวกระโดดจากกิ่งหนึ่งมายังพุ่มไม้เหนือหัวผม จนน้ำค้างทะลวงลงมาห่าใหญ่
สตั้มปี้นั้นเอง ที่กระโจนลงมา แถมยังมาอ้าปากถลึงตาร้องขู่ใส่ผมอีก
ผมไปทำอะไรให้เธอ ก็ไม่ แค่ผมคิดแทนเธอเท่านั้นเอง
เธอคงต้องการบอกอะไรบางอย่างกับผม
ผมมองตามเธอ, สตั้มปี้ ลิงแขนเดียวผู้ซึ่งสูญเสียลูก, ขณะเธอกระโจนอย่างคล่องแคล่วไปสู่ต้นไม้อีกต้นตามหลังฝูง ที่กำลังเดินทางมุ่งหน้าสู่ต้นนอน
ใกล้หมดไปอีกหนึ่งวันแล้ว กิจกรรมต่างๆเริ่มเชื่องช้าลง ชีวิตประจำวันค่อยๆก้าวเข้าสู่
โมงยามของการหยุดหย่อนผ่อนพัก ให้ร่างกายและจิตใจเว้นว่างจากความเหนื่อยล้า เพื่อฟื้นคืนเรี่ยวแรงให้พร้อมที่จะก้าวเดินวันรุ่งขึ้น ถึงแม้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
วันนี้มืดเร็วกว่าปรกติเพราะเมฆหมอกครึ้มฟ้า แต่คงไม่ใช่อย่างนี้ทุกวัน
    ผมได้แต่หวังและหวัง ว่าสักวันหนึ่ง จะได้เห็นลูกลิงน้อยขนสีน้ำตาลเข้มเกี่ยวเกาะใต้ท้องของสตั้มปี้ระหว่างเดินทาง-คงสักวัน







2.สายเลือดแห่งสายน้ำ

ถ้าผมพยากรณ์ไม่ผิด แสดงว่ามันต้องถูก!
ในความคาดหวังของเช้านี้- ที่ฝนจะไม่ตก ถึงแม้นตอนนี้จะเป็นหน้าฝนก็ตาม ก็สัญญาณที่ส่งมาจากเบื้องบนบอกผมอย่างนั้น ผมไม่ได้มีญาณวิเศษอะไรหรอกครับ เพียงแค่ผมแหงนหน้ามองม่านฟ้าเมื่อคืน…
…ดวงดาวดาษดื่น กลาดเกลื่อนสุกใส ไร้มวลเมฆหมอกปกคลุม แค่นั้นก็เป็นนิมิตหมายอันดีแล้ว ที่ไม่ต้องเปียกแต่เช้า
ผมเข้านอนพร้อมความพึงพอใจในสภาพอากาศท่ามกลางบรรยากาศที่มีเสียงจิ้งหรีดขับกล่อมใกล้ๆ ด้วยท่วงทำนองแห่งรัตติกาลที่คุ้นเคย โดยมีการร้องประสานเสียงกันของเหล่าสุนัขจิ้งจอกที่เห่าหอนเรียกชุมนุมประจำปี, เมื่อเดือนเก้ามาถึง, ฟังดูโหยหวนระคนโหยหา-อยู่ไกลๆที่ท้ายทุ่ง แว่วๆแทรกมาบ้างนานๆที
ในยามค่ำคืน เมื่อไม่มีเสียงสาดของเม็ดฝน สายลมแผ่วๆก็สามารถหอบหิ้วสุ่มเสียงบางเบาจากที่ไกลๆมาให้ได้ยิน เฉกเช่นกับ หมู่ดาราที่ระยิบระยับท่วมทับฟากฟ้า แลดูโดดเด่นเป็นหนักหนา เมื่อไร้ดวงจันทราทอนวลยวนใจ…
แล้วผมก็ฮ่อรถเครื่องมาถึงทางเข้า และจดเวลาเริ่มงาน 05:18 ผมตัดสินใจวางผ้ากันฝนผืนโตที่ใช้ทั้งกันหนาวกันลมเวลาขับรถมาทำงานในยามเช้า และใช้กันเปียกฝนเวลาอยู่ในป่า ไว้บนเบาะรถมอเตอร์ไซด์ หลังจากที่ได้เงยหน้ามองฟ้าไปรอบๆทั้งสี่ทิศ- น้องดาวและเพื่อนๆยังคงยิ้มแย้มสุกใสกลางเวหากันอยู่ และตามข้อมูลทางสถิติจากความทรงจำสีจางๆของผม ตอนเช้าโอกาสที่ฝนจะตกหนักมีเพียง 27.72%เท่านั้น ดังนั้นผมจึงลองเสี่ยงที่จะเปียก ดีกว่าจะทนแบกน้ำหนักเพิ่มอีกสองกิโลจากผ้ากันฝน
จากนั้นผมก็แทรกตัวหายเข้าไปในความฉ่ำเย็นของพงไพรยามรุ่งอรุณ ตามทางที่คุ้นชิน ภายใต้ความมืดของชั่วโมงสุดท้ายของกลางคืนที่คาบเกี่ยวกับชั่วโมงแรกของกลางวัน
เช้านี้ฝูงลิงเคลื่อนตัวลงไปทางทิศใต้จากต้นนอนTmoi เฉียงตะวันตกนิดๆ ขยับออกจากที่หลับนอนเพียงครู่ ก็ไปติดอยู่บนต้นดงดำที่ผลสุกเหลืองอร่ามเต็มต้น ตอนแรกก็มีเสียงทะเลาะกันเล็กน้อย แต่สักพักก็เงียบหายไป เหลือไว้เพียงเสียงส่วนเกินของความอิ่มอร่อยที่ร่วงลงสู่พื้น
ความกังวลใจในเรื่องฟ้าฝนของผมหมดไป เมื่อดวงตะวันยกตัวสูงขึ้นและสาดแสงเชื้อเชิญคลุ้งหมอกขบวนสุดท้ายที่โอ้เอ้เก็บข้าวของ ให้เคลื่อนตัวพ้นไปจากผืนป่า
“ช่างเป็นเช้าที่แจ่มใส สดชื่นเสียจริง” ผมพูดในใจแต่ก็อดที่จะออกเสียงไม่ได้
แต่ก็มีสิ่งหนึ่งในหลายสิ่งที่ไม่ว่าท้องฟ้าจะมืดครึ้มหม่นหมอง หรือสดใสแจ่มจิต ก็ไม่ผลิตความแตกต่างกันออกมาให้เห็น
    …เสียงจักจั่นที่ระงมไปทั่วทุกอณูพงไพรนั่นเอง…
    ไม่มีจังหวะไม่มีทำนอง มีแต่คำร้อง-คำเดียว ที่ไม่หยุดไม่หย่อน ไม่ผ่อนไม่พัก ตลอดทั้งวัน
    จักจั่นที่พูดถึงนี้ คือจักจั่นแม่ม่ายทรงเครื่อง   ตัวเท่าหัวแม่มือ ท้องสีส้มเตะตา ปีกสีดำ 2ชั้น ชั้นนอกยาวกว่าและมีแถบสีขาวคาดกลาง ส่วนชั้นในสีดำสนิท ตัวที่ส่งเสียงอันไพเราะเสนาะใจ (พวกเดียวกัน) เป็นจักจั่นตัวผู้ ที่มีช่องท้องโปร่งโล่ง อันเป็นที่มาของเสียงที่ได้ยิน มีเครื่องเพศอยู่ปลายก้น ส่วนตัวเมียนั้น ท้องมีสีดำคาดเป็นแนวเหมือนทางม้าลาย ภายในท้องมีบางอย่างขาวขุ่นอยู่ และมีเครื่องเพศอยู่ตรงกลางท้อง ผมเคยเห็นลิงบางตัวจับกินบ้างแต่ก็ไม่ค่อยเป็นที่นิยมกันนัก
    ไม่เหมือนแมงมุมและตั๊กแตนที่เป็นอาหารจานโปรด ในยามที่เหล่าลิงแปลงกายเป็นทหารราบเดินลาดตระเวนกันตามพื้น ซึ่งมีให้เอร็ดอร่อยกันได้ทั้งปี
    ท้องฟ้าสีครามสดใส การงานก็ลื่นไหล เสร็จตัวที่หนึ่ง ตัวที่สองก็โผล่หน้ามาให้เห็น ไม่ต้องเสียเวลาและเมื่อยขาเดินตามหาให้ลำบาก อะไรๆก็ดูดีไปเสียทุกอย่าง แถมฝูงลิงก็เริ่มขยับลงมาทางใต้เรื่อยๆ อันหมายถึงใกล้ทางออกมากขึ้น ทำให้จะได้กลับบ้านเร็วขึ้น เมื่อทีมงานรอบบ่ายมาเปลี่ยนกะทำงาน
    และบรรยากาศการทำงานก็ยิ่งรื่นรมย์มากขึ้น เมื่อหมู่มวลเพื่อนหน้าขน เริ่มทยอยไต่ลงมาพักผ่อนในระดับต่ำๆกันแล้ว แม่ลูกอ่อนจับคู่ทำความสะอาดให้กันส่วนพวกตัวผู้ก็นั่งนิ่งพิงหลังกับกิ่งไม้ มองนั้นมองนี้ บางก็ผล็อยหลับไป บางก็ดันเอาผลไม้ในแก้มมาเคี้ยวกิน ส่วนพวกตัวเล็กๆก็เริ่มเปิดการแสดงกายกรรมผาดโผน
ลูกลิงรุ่นที่เพิ่งเกิดไม่นานหัวยังล้านโล่ง ขนขึ้นยังไม่เต็ม (4-5 เดือน) ก็จะเล่นกับพวกอายุไล่เลี่ยกัน ไม่เข้าไปรวมวงกับรุ่นโต ที่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ตามกิ่งไม้ต่ำๆ การไล่ล่าหลบหนีของพวกจอมซนบนกิ่งโอนเอน สร้างความหวาดเสียวให้ผมเหลือเกินในครั้งแรกๆที่เห็น เช่นกันกับเสียงร่างร่วงกระทบพื้น ดังตุ้บ ตั้บ ทั้งจากการตั้งใจกระโดดลงมาเองและที่พลาดพลั้งหลุดมือ ไม่มีความเจ็บปวดเกิดขึ้นให้เห็นเลย มีก็แต่ความสนุกสนานที่ฟุ้งกระจายปะปนกับฝุ่นดิน
ต้นไม้บางต้นที่เหล่าจอมซนชอบใจ พวกมันก็จะไต่ขึ้นไต่ลง จนก้านใบหายหมดเกลี้ยง หรือที่หนักกว่านั้นก็กิ่งหักลงมาเลย ส่วนพื้นดินที่ใช้เป็นลานมวยปล้ำนั้น ก็จะเรียบราบขึ้นมันวาว ด้วยการคลุกตัวไปมาของแต่ละเกมการประลองกำลัง- เล่นไม่มีเหนื่อยจริงๆ
แล้วฝูงลิงก็เริ่มเคลื่อนขบวนอีกครั้ง หันไปทางทิศตะวันออก แต่ยังคงเฉียงใต้หน่อยๆ และถ้ามุ่งหน้าไปแนวนี้เรื่อยๆ อีกไม่นานคงไปถึงร่องน้ำTW, ผมคิดคำนวณและแย้มยิ้มในใจ
สักพักผมก็ได้ยินเสียงและเห็นร่องน้ำ พร้อมกับสิ่งที่ได้จินตนาการไว้ในใจก่อนหน้านี้  ลอยป๋อมแป๋มๆ อยู่ในน้ำ หนึ่ง สอง สาม สี่ และ ห้า ถึงแม้ว่า น้ำในคลองจะเป็นสีชาใส่นม แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร ก็ขนาดว่า แอ่งน้ำเล็กๆที่แทบจะเป็นโคลนเหลวๆ ก็ยังไม่วาย
เจ้าพวกจอมซนกำลังลงเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน
ผมเอามือจุ่มน้ำ น้ำไม่ใสแต่เย็นเยือกเข้าไปถึงกระดูกกระเดี้ยว
แรกๆก็ค่อยๆก้าวทีละขาลงจากตลิ่ง, เพื่อตรวจสอบความเย็นและความลึก, ทีละตัวสองตัว แล้วก็ว่ายข้ามจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง (กว้างประมาณ 5 เมตร) ขึ้นมานั่งบนกิ่งไม้สักพัก หยอกล้อกับตัวอื่นๆ ที่ยังไม่เปียก เหมือนเป็นการชักชวนให้ลงไปร่วมเล่นด้วยกัน
จากนั้นเสียงกระโดดจากกิ่งไม้และริมตลิ่งก็ดังตูมๆ ให้ผู้ได้ยินได้เห็นสัมผัสความสนุกแกมอิจฉาไปด้วย บางตัวเก่งขนาดปล่อยมือลงมาจากกิ่งสูงๆ ตูมเดียวหาย โน้น ไปโผล่อีกที่ไกลๆ
…เล่นเอาใจหายแทบแย่….
เหมือนกับอดอยากมานานสำหรับพวกจอมซน ทั้งที่เปียกฝนอยู่แทบทุกวัน
(แต่ในความเปียกที่เหมือนกัน เปียกน้ำฝน กับเปียกน้ำในคลอง มันแตกต่างกันเยอะในความรู้สึก…ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน)
สนุกสนานกันไม่หยุดไม่หย่อน เปียกน้ำขนลู่ จนแทบมองไม่ออกว่าใครเป็นใคร
ขณะเดียวกันพวกลิงใหญ่ก็เดินไต่หากินแมงมุมตามริมตลิ่ง เลาะเลียบไปตามคลองน้ำ   
    แต่ เอ๊ะ! ตัวใหญ่ๆ ที่อยู่กลางน้ำนั่น ใครกัน?- คงอดใจไม่ไหวเป็นแน่ ก็พวกตัวเล็กๆ เล่นน้ำกัน แบบไม่เกรงอกเกรงใจเลย (ประเภทว่าคะแนนความสนุก เต็มสิบ ได้ สิบเอ็ดไปเลย)   
    อ้าว!!! แพตเชส  Patches กับ นัวล่า Nuala   นี่หน่า…
    ผมไม่เคยเห็นลิงรุ่นคุณแม่ลงเล่นน้ำสักครั้งมาก่อนสักที นี่เป็นครั้งแรก !
แต่จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะมีคุณแม่อีกตัวที่ว่ายน้ำวนไปวนมาอยู่กับพวกเด็กๆตั้งนานแล้ว- ก็เธอเป็น ราชินีเจ้าสระเจ้าคลอง นี่หน่า ผมก็เลยไม่แปลกใจ…
…กับคุณแม่ยังสาว ตั๊กแตน Thakraten ผู้ที่รักการเล่นน้ำเป็นชีวิตจิตใจ
เธอได้รับชื่อดังกล่าว เพราะวันนั้น หลังจากที่จัดการส่งตั๊กแตนกิ่งไม้ขายาวเก้งก้างตัวใหญ่เข้าปากจนหมด เธอก็สามารถจับตั๊กแตนใบไม้สีเขียวตัวอวบอูม มาต่อยอดความอร่อยลิ้นได้- ตั๊กแตนสองตัวหายไปลงลำคอของเธอไปอย่างรวดเร็ว จะให้เธอชื่ออะไรได้อีกล่ะ?
ตอนเล็กๆ ดูตั๊กแตนจะเก่งกว่าใครในรุ่นเดียวกันทั้งตัวผู้และตัวเมีย และเมื่อโตเป็นวัยรุ่นยิ่งไปกันใหญ่ ถึงขนาดข้ามรุ่นไปทะเลาะกับตัวเมียอื่นๆที่แก่กว่า หรือกับตัวผู้บ้าง มันมีเหตุผลที่ทำให้เธอเป็นอย่างนั้น…?...
ก็เพราะว่า เธอเป็นลูกสาวของ แพตเชส- ผู้เป็นใหญ่ในเหล่าตัวเมียนั้นเอง (alpha-female) ลำดับชั้นทางสังคมของตัวเมียแทบจะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง โดยพิจารณาจากการก่อเกิด หากเกิดในครอบครัวเดียวกันก็อยู่ในลำดับชั้นเดียวกัน ทั้งหมดทุกตัว แม่ ลูกสาว หลานสาว และเวลามีเรื่องทะเลาะวิวาท ตัวเมียจะช่วยเหลือกันทั้งครอบครัว อาจมีสัมพันธมิตรมาช่วยด้วยเช่นกัน
ตั๊กแตนชอบเล่นน้ำมากถึงมากที่สุด เมื่อสมัยยังเป็นวัยรุ่น เห็นแหล่งน้ำที่ไหน เป็นต้องมีสาวเจ้าลงแหวกว่ายอยู่ที่นั้น- ดูเธอมีความสุขเหลือล้นเมื่อได้ลอยตัวในน้ำ, และถึงแม้นจะเป็นคุณแม่แล้ว (เธอให้กำเนิดเจ้า แดน Dan ลูกชายตัวแรกเมื่อปีก่อน) เธอก็ยังไม่คลายความชอบในสายน้ำ เธอเป็นลิงตัวเต็มวัยเพียงตัวเดียวที่ลงเล่นน้ำร่วมกับพวกเด็กๆ…อย่างจริงๆจังๆ
ผมไม่นับพวกคุณป้าคุณยายตัวอื่นๆที่โน้มตัวงมหอยหรือหาแมงมุมอยู่ตามริมน้ำ จนตัวเปียก ส่วนตัวผู้นั้นเลิกพูดได้เลย ผมยังไม่เคยเห็นใครสักตัว
หรือว่าการที่ครอบครัวนี้ชอบเล่นน้ำ มันจะเป็นลักษณะเด่นทางพันธุกรรม ที่ส่งทอดกันมาทางสายเลือด จากแม่สู่ลูก
…ไล่มาตั้งแต่ แพตเชส ที่มีลูก 3 ตัว ก็ชอบเล่นน้ำทุกตัว และหลานก็ชอบเช่นกัน
หรืออาจจะเป็นไปได้ว่า ครอบครัวผู้สูงศักดิ์เท่านั้นที่มีอภิสิทธ์ในการอาบน้ำ 
เมื่อหน้าฝนมาเยือน หลายสิ่งหลายอย่างก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ธารน้ำที่เคยเหือดแห้งตื้นเขิน มองเห็นเหล่าก้อนหินมากกว่าเนื้อน้ำ ก็เปลี่ยนเป็นเส้นทางของความชุ่มชื่นที่ไหลหลั่งถาโถมพร้อมกับส่งเสียงอื้ออึงแข่งกับเหล่าจักจั่น
สายน้ำสีขุ่นยังคงไหลลดคดเคี้ยวไปตามแนวตลิ่ง บางส่วนก็ดูเร่งรีบวุ่นวาย บางส่วนก็เหมือนอ้อยอิ่งผ่อนคลาย และบางเสี้ยวก็ถูกดูดซับไว้ระหว่างทาง
 แต่ทั้งหมดก็บ่ายหน้าจากที่สูงไปสู่ที่ต่ำ ต่างที่มาแต่ก็ไปรวมที่เดียวกัน
ฝูงลิงขยับขึ้นจากธารน้ำที่มุ่งหน้าต่อไปทางทิศตะวันออก- หมดเวลาแห่งความสนุกสนานของเจ้าพวกจอมซน ขนที่เปียกได้รับการสะบัดและแลดูเกือบแห้งเหมือนปรกติแล้ว เช่นกันกับความรื่นรมย์ของผมที่ค่อยๆหมดไป เมื่อลิงแต่ละตัวเริ่มไต่ขึ้นไปอยู่บนต้นมะป่วน (Mitrephora maingayi) ใบหนาผลดก-ผลรูปไข่เหลืองเข้ม เนื้อมีกลิ่นหอม หวาน เกิดเป็นพุ่มเป็นพวง ผมมองขึ้นไปและเห็นเพียงเสียงเศษเม็ดที่ร่วงหล่นลงมา, มองไม่เห็นใคร
แต่สักพักก็เห็นตัวเมียหนึ่งตัว นมยานๆ หางตรงๆ กระโดดออกมาจากพุ่มไม้พร้อมกับร้องเสียงหลงด้วยความกลัว แล้วมองขึ้นไปแยกเขี้ยวให้อีกฝ่ายที่อยู่ข้างบน ที่กระโดดตามลงมาจ้องอยู่สักพัก ตั๊กแตนนั้นเองที่ไล่ สการ์เลต Scarlet ออกมาจากแหล่งอาหาร ถึงแม้นเธอจะตัวเล็กกว่า สการ์เลตก็ตาม มันไม่ใช่ปัญหา
สิ่งที่ทำให้ลิงตัวเมียมีเรื่องกัน คงจะมีอยู่สองเรื่อง คือ การเข้าถึงแหล่งอาหารและ การเข้าถึงตัวผู้
ตั๊กแตนไม่เคยยอมให้ใคร นอกจากแม่ตัวเองและพวกหนุ่มๆที่ตัวใหญ่กว่ามากๆ ซึ่งส่วนใหญ่ จะเป็นประมาณว่า เดินไปยกหางกระดกก้นล่อตาล่อใจเค้า พอเค้ามาแตะเนื้อแตะตัวก็กระโดดหนี ทำเป็นเล่นตัว พวกหนุ่มๆก็เลยไม่พอใจ วิ่งไล่ซะ และด้วยความที่เธอยังเป็นสาว ก็หนีพ้นทุกที หรือหากว่าเต็มที่ คิดว่าหนีไม่พ้น เธอก็จะร้องเรียกแม่เรียกเพื่อนมาช่วย ซึ่งมันก็ได้ผลทุกที
ผลไม้มากมายเริ่มสุก แต่ถึงแม้นสุกแล้ว รสชาติก็ยังเปรี้ยวอยู่ดี-ผลไม้ป่า แหล่งพลังงานสำหรับการเตรียมความพร้อมเพื่อฤดูกาลอันสำคัญที่จะมาถึง เมื่อสายฝนขาดช่วงไป
และปีนี้ ตั๊กแตนคงจะเนื้อหอมเหมือนกับตัวเมียอีกหลายตัวที่เว้นวรรคการมีลูกมา และไม่ว่า ลูกของตั๊กแตนจะเป็น ตัวผู้หรือตัวเมีย…
 ผมขอพยากรณ์ไว้เลยว่า ต้องชอบเล่นน้ำเป็นแน่ เพราะเลือดแม่มันแรง
 ถ้าผมทายไม่ผิด มันก็ต้องถูก!
 








3.เจ้าแห่งถุงแก้มลิง

ความมืดถอยร่นออกจากฟากฟ้าไปตั้งแต่ผมมาถึงทางเข้าที่ถนนลาดยางแล้ว แต่ความมัวยังคงอ้อยอิ่งรอเวลาอย่างเป็นทางการที่จะเคลื่อนคลายอยู่ เช้านี้ผมต้องเดินเข้าไปอีก 40 นาที จึงจะถึงต้นนอน Tlii, ซึ่งถือว่าเป็นระยะทางปานกลางสำหรับเรา
เมื่อไปถึงต้นนอน นาฬิกาบอกเวลา 5:50 น ฝูงลิงเพื่อนเราที่อยู่บนเรือนยอดเริ่มขยับตัวออกจากต้นนอนกันแล้ว-ลิงทั้งฝูง 54 ตัว จะเข้านอนอยู่บนต้นเดียวกัน ส่วนใหญ่ที่พบจะเป็นต้นไทรและอยู่ใกล้ธารน้ำ
ผมจัดเตรียมวิทยุสื่อสาร เครื่องบอกพิกัดจีพีเอส กระดาษตารางเก็บข้อมูล และกล้องสองตา พร้อมกับเงยหน้ามองกลุ่มลิงที่กระโจนอยู่บนหัวเคลื่อนที่ออกจากที่หลับนอน
    “วันนี้ จะพาไปทางไหน หนอ?”
    แล้วผมก็หาวนอนเป็นครั้งที่สาม)))
เมื่อคืนกว่าจะได้เข้านอนก็เกือบห้าทุ่ม- ละครที่ติดตามกำลังถึงพริกถึงขิง
…เปล่า ไม่ใช่ครับ
    เพลินกับการอ่านนิยายสืบสวนของ อกาธา คริสตี้
    …นี่ ก็ไม่ใช่ครับ
    เหตุผลเดียวที่ผมต้องยอมนอนดึกนิดๆ สำหรับการต้องออกมาทำงานเช้าอย่างนี้ก็คือ…
    …ครับ นั้นแหละครับ เดาไม่ยากใช่ไหมครับ
    คุยโทรศัพท์กับผู้หญิงคนนั้น เรื่อง…จะไปเที่ยวที่ไหนกันดี จะกินอะไรกัน ในวันหยุดที่จะมาถึง มากมายหลากหลายอย่าง ถูกนำเสนอและพิจารณา แต่สุดท้ายก็ยัง ตัดสินใจไม่ได้ ไม่พอใจ ไม่เข้าใจ และสรุปก็คือ คุยกันไม่รู้เรื่อง,ไม่จบ–เมื่อเวลาผ่านไปสองชั่วโมง
ต้องยกไปอภิปรายกันต่อในวันถัดไป…คืนนี้ต้องขอตัวก่อน ส่วนหัวใจนั้นฝากประจำไว้เหมือนเดิม
หันมาเปรียบเทียบกับ ลิง คุยกันไม่กี่คำ, ไม่สิ  ส่งสำเนียงเพียงไม่กี่อย่าง ก็รู้เรื่อง เข้าใจ
…วันนี้ จะไปไหน กินอะไร …น่าอิจฉาเหลือเกิน
แต่ผมก็ไม่ได้อยากมีแฟนเป็นลิงหรอกนะครับ ผมก็รักและอยากจะมีเธอ “คน”นั้นเป็นแฟนเหมือนเดิมและตลอดไปนั้นแหละ แม้นว่า เวลาคุยกันกับเธอ เธอจะไม่ค่อยฟังผมเลย เธอเล่นพูดอยู่ฝ่ายเดียว (แต่ก็พูดไปยิ้มไปหัวเราะไป) ดีหน่อยที่ผมชอบที่จะฟังเสียงของเธอเวลาเจื้อยแจ้ว เอื้อนเอ่ย
ผมดีใจที่ลิงไม่ช่างพูดช่างคุย ไม่งั้นในป่าคง…จุด จุด จุด … แย่
แค่เสียงเหล่าสกุณาต่างๆ ไม่ว่านกปรอท นกแก็ก หรือ เสียงจักจั่นก็รื่นรมย์มากแล้ว(นี่ยังไม่นับรวมเสียงประสานของชะนีหนุ่มสาว ที่บางวันก็ไม่เหน็ดไม่เหนื่อยในการร้องรำทำเพลงเลย)
ผมคิดถึงใบหน้าของหญิงคนรักและข้อความข้างต้น ขณะดุ่มเดินตามฝูงลิงที่เคลื่อนออกจากต้นนอน มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก
ผมยังไม่ได้เริ่มงานเพราะความสว่างของแสงยังมีไม่พอ เงยหน้าขึ้นไปก็เห็นเพียงเงาสีดำตะคุ่มๆไหวๆอยู่บนยอดไม้ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
ช่วงนี้(เดือนสิงหาคม) หลายวันแล้วที่ตื่นเช้ามาฝูงลิงจะมุ่งหน้าสู่ป่าตะเคียน และอยู่บนเรือนยอดเป็นเวลายาวนาน เพื่อดับความหิวที่คั่งค้างมาตั้งแต่ค่ำคืน
เมื่อดอกตะแบกสีชมพูอ่อนเริ่มทิ้งตัวลาโรงจากเรือนยอด ระหว่างนั้นทั่วป่า(ดิบแล้ง) ก็จะได้รับการแทนที่ด้วยความไสวสว่างจากสีเหลืองนวลตาของพุ่มดอกตะเคียนหินที่เริ่มชูช่อเบ่งบาน
เมื่อมีดอกไม้งาม ก็ย่อมต้องมี หมู่ภมรแวะเวียนมาเชยชม
แต่โอ้… ในกรณีนี้ ไม่ใช่ครับ
เป็น หนอนครับ! หนอนบนช่อดอกตะเคียนหิน นั้นแหละครับ ที่ฝูงลิงทั้งฝูงไปติดแง็กตั้งแต่เช้า นั่งเลาะเล็มหนอนอย่างพิรี้พิไร ซึ่งก็นานโขกว่าจะอิ่มหรือพอใจ เพราะหนอนตัวเล็กหรือจะให้ถูกก็ต้องว่า จิ๋ว
และนั่นเป็นหนึ่งในข้อดี- แต่ละตัว จะ-นั่ง-นิ่ง- นาน-ไม่ขยับตัวบ่อยนัก, ที่อยู่ท่ามกลางข้อไม่ดีหลายๆข้อ อันได้แก่ ปวดคอในการเงยหน้ามองยอดต้นตะเคียนที่สูง 25-30 เมตร ขี้หนอนเม็ดจ้อยหล่นเกลื่อนกลาดเต็มหน้าเต็มตา น้ำค้างร่วงพรูยามมีใครขยับเขยื้อนเปลี่ยนที่ และสุดท้าย ตัวหนอนที่ร่วงลงมาไต่ตามคอตามเนื้อตัว ดึกดึ๋ยๆและแอบกัดบ้าง
และเมื่อพูดถึงหนอนบนเรือนยอดต้นตะเคียนที่ลิงกิน จะไม่พูดถึงหนอนที่อยู่บนดอกก่อเรียบ
…ก็คงเหมือน ตำส้มตำไม่ใส่น้ำปลาร้า
หนอนดอกตะเคียนหินแตกต่างกับหนอนดอกก่อเรียบ ตรงขนาดที่เล็กกว่ามาก และอีกอย่างที่สำคัญคือ หนอนก่อเรียบจะทิ้งตัวจากเรือนยอดด้วยเส้นใยคล้ายหยากไย่ที่มีความเหนียวกว่า เมื่อถึงด้านล่างก็จะไต่กลับขึ้นไปใหม่ แล้วก็ทิ้งตัวลงมาอีก
และจากความสนุกสนานของหนอนอย่างนั้น ทำให้ พื้นที่เบื้องล่างของทรงพุ่มต้นก่อเรียบมีหยากไย่ห่มคลุมไปหมด ดูเหมือนป่าร้างที่ไม่เคยมีใครมาปัดกวาดเช็ดถูนานหลายปี และเมื่อได้เหยียบย่างเข้าไปในสมรภูมิดังกล่าวและหลุดออกมา ผมเองก็จะแปลงกายเป็น-วัตถุโบราณเคลื่อนที่ได้
โอ้ แปะหน้า ปะคิ้ว เกี่ยวผม พันคอ ม้วนแขน เกาะกระเป๋า เต็มไปด้วยหยากไย่ สุดแสนจะ “บรรยาย”
คงจะเป็นอารมณ์เดียวกันกับ แมลงภู่บินไปติดใยแมงมุม,อย่างไงอย่างงั้น
ไม่นับรวมตัวหนอนที่ไต่ตามตัวอีก จั๊กจี๋เป็นที่สุด(ในที่นี้จะไม่กล่าวถึงความรำคาญที่เกิดขึ้น)
ตามปรกติที่พบเห็น ยามใดที่ฝูงลิงไปเจอะเจอต้นผลไม้ที่มีรสชาติถูกอกถูกใจ ก็จะส่งเสียงเจี๊ยวจ้าวคล้ายนกน้อยร้อยตัวคุยกัน และอาจจะมีเสียงทะเลาะกันเล็กน้อยตามมา แต่ไม่รุนแรง
ช่างดูเหมือนว่ามีความเห็นแก่ตัวซ่อนอยู่ในความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และรักพวกพ้องในฝูงลิง
แต่กับการมากินหนอนซึ่งมีอยู่อย่างเหลือเฟือนั้น ผมไม่เคยได้ยินเสียงอื่นใดเลย นอกจากเสียงขี้หนอนเม็ดจิ๋วที่โปรยปรายลงมากระทบใบไม้เบื้องล่าง
แล้วอยู่ในป่าลิงกินอะไรบ้าง? ทุกอย่างเลยครับ ไล่ตั้งแต่ปลายยอดไม้จรดผืนดิน
ผลไม้นั้นแน่นอนอยู่แล้ว ใบอ่อนใบแก่ต้นไม้บ้าง แต่ประเภทใบนี้ จะเน้นไปที่ใบของพวกเครือพวกเถามากกว่า ดอกไม้สวยๆหอมๆนั้นก็อร่อยลิ้นนัก ส่วนสัตว์เล็กสัตว์น้อย ไข่นก และแมลงก็ไม่เคยปฎิเสธ
และเมื่อพูดถึงเรื่องกิน ก็ทำให้ผมนึกถึง ลิงหน้ายาว ดวงตากลวงลึกเข้าไปในกะโหลก ขนสีน้ำตาลจางๆ ค่อนไปทางเหลืองซีด หางสั้นขนขึ้นกันห่างๆ  “เจ้าแห่งถุงแก้มลิง” – สปั้ด
สปั้ดเป็นลิงอาวุโสอีกตัวซึ่งหายออกไปจากฝูงเมื่อไม่นานมานี้ แกได้ฉายานี้ เพราะถุงแก้มของแก ไม่เคยว่างเว้นจากการบรรจุเสบียงเลย เมื่อฝูงลิงแวะเข้าเยี่ยมเยือนต้นผลไม้ต้นไหน กลับออกมา ถุงแก้มของสปั้ดจะต้องเต่งตุงทุกที
ถุงแก้มมีประโยชน์อันเด่นชัดคือ สามารถเก็บอาหารไว้กินระหว่างทางและอีกอย่างเป็นการป้องกันการกระทบกระทั่งจากการแก่งแย่งอาหารการกิน ประมาณว่า รีบเด็ดเก็บผลไม้แล้วรีบออกจากพื้นที่ที่สุมเสี่ยงต่อการปะทะ(จากพวกที่มีตำแหน่งทางสังคมสูงกว่า) แล้วมานั่งกินที่อื่นได้
ในตอนแรกที่สปั้ดหายไป ผมคิดว่าแกคงหายไปไม่นานเหมือนเมื่อปีที่แล้ว ที่สปั้ดเคยปลีกวิเวกไปกว่าสิบวัน แล้วก็กลับมา ซึ่งก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นทั้งสองครั้ง สปั้ดจะอยู่เฉพาะส่วนท้ายของฝูง ไปไหนมาไหนตัวเดียว ไม่สุงสิงกับใครเหมือนเคย และที่สำคัญมักมีเรื่องกับพวกลิงหนุ่มในยามเจอหน้ากันเสมอ
 ก่อนหน้านั้น สมัยจ่าฝูงตัวเก่า-เจ้าแว่นตา ยังอยู่ สปั้ดถือว่าเป็นผู้มีตำแหน่งสูงตัวหนึ่งในฝูง เดินผาดเผยอยู่ใจกลางเสมอ แต่หลังจากการเปลี่ยนแปลง อาณาจักรของเหล่าลิงสูงอายุก็ล่มสลาย ลิงมากประสบการณ์หลายตัวเริ่มหายหน้าไปจากฝูง และไม่กลับมา
แล้ววันหนึ่งสปั้ดก็หายไป
ผมเฝ้ารอการกลับมาของแกวันแล้ววันเล่า จนกระทั่งความหวังเหือดแห้งแล้วระเหิดไปกับสายลมหน้าร้อน แม่ลิงที่ท้องป่องคลอดลูกหมดทุกตัวแล้ว และสายฝนก็โปรยปราย แต่ก็ไม่มีวี่แววของการคืนถิ่น
มันยังคงชัดเจน, สำหรับภาพลิงแก่พุงขาว ขอบตาคล้ำๆ หัวนมสีชมพู (เห็นชัดกว่าตัวผู้ทุกตัว) ที่นั่งใช้ไหล่กระทุ้งแก้มเอาผลกำลังเสือโคร่งรสหวานอมเปรี้ยว (Ziziphus attopoensis) หรือผลมะหาดที่หวานจนน้ำตาไหล (Artocarpus lacucha) ออกมานั่งเคี้ยวกินระหว่างพักเดินทาง หรือ จะเป็นท่านั่ง 160 องศา-โชว์ของสงวน ไม่อายฟ้าอายดินแทะเล็มผลกระทุ่มบก (Antocephalus chinensis) ที่จริงๆเป็นส่วนของดอกซึ่งหุ้มผลรวมขนาดเล็กไว้ข้างในอย่างตั้งอกตั้งใจ หรือ การ แกะ กัด กลืน ผลเหลืองนวลของต้นดงดำ (Alphonsea spec.) หรือเจ้าของผลงานภูเขาเปลือกมะไฟ (Baccaurea ramiflora) หรือ เปลือกมะดะขี้หนอน (Garcinia thorelli) ที่พะเนินเทินทึกใต้ต้น,ทุกภาพยังคงชัดเจนในความคิดของผม
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพที่ถุงแก้มของแกเต่งตุงโตงเตง เต็มไปด้วยเม็ดสะบ้าลิง(Macuna macrocarpa) ในปริมาณที่ชวนให้สงสัย และอีกภาพ คือ ในยามที่ถุงแก้มของแกเต็มไปด้วยหอยจากลำธาร ซึ่งผมสามารถมองเห็นรูปก้นหอยแหลมๆทิ่มออกมาจากถุงของแกอย่างชัดเจน
    สปั้ดไม่ได้เพิ่งมาเป็น เจ้าแห่งถุงแก้มลิง แต่แกเป็นมานานแล้ว ตั้งแต่ครั้งยังเป็น สปั้ดผู้องอาจ เรื่อยๆมาจนกระทั่งกลายมาเป็น สปั้ดผู้เดียวดาย
    เมื่อครั้งกระโน้น สปั้ดเป็นลิงที่รักเด็กมาก โดยเฉพาะลิงน้อยตัวผู้ เห็นตอนไหนเป็นต้องรีบเข้าไปหอบหิ้วไปกอดไปดม แล้วก็พาไปทำ แซนวิช กับลิงกลุ่มอาวุโส ไม่ว่าจะเป็น เจ้านาย แว่นตา หรือ พังค์ – การทำแซนวิช เป็นพฤติกรรมเป็นมิตรทางสังคมอย่างหนึ่ง ที่ลิงสองตัวจะหันหน้าเข้าหากัน แล้วจะมีลิงเล็กๆอยู่ตรงกลาง ตัวใหญ่สองตัวจะบีบตามตัวลิงน้อย เอาจู๋มาดูดบ้าง จับจู๋เล่นบ้าง หรือต่างตัวต่างพยายามขยำดึงเจ้าตัวเล็ก ระหว่างนั้นอาจจะมีเสียงหวีดร้องหรือทำเงียบๆ มีเพียงเสียงฟันบนกับฟันล่างกระทบกันขณะแต่ละตัวขบฟันเท่านั้น และอย่าคิดว่าเจ้าตัวเล็กทั้งหลายจะกลัวการทำแซนวิชอย่างนี้ เพราะเห็นทีไรเป็นวิ่งเข้าหาทุกที
    และเมื่อฤดูผสมพันธุ์ปีที่แล้ว อาการรักเด็กของสปั้ดก็ยังคั่งค้างอยู่ในสมองของแก เพราะปีนั้น เห็นลุงสปั้ด ตามจีบตามตื้อแต่พวกสาวน้อยที่เพิ่งโตและยังไม่เคยมีลูก ซึ่งก็ได้รับรางวัลบ้าง ผิดหวังบ้าง-ก็สาวน้อยแต่ละนาง รวดเร็ว ผาดโผน เหลือเกิน ส่วนลุงสปั้ดนั้น เชื่องช้ากว่า อ่อนล้า เกินไปบ้าง ทำให้บางจังหวะ ก็ไม่ทันพวกหนุ่มๆตัวอื่นๆ ที่จ้องรอเมื่อความเผลอไผลเกิดมี
    ผลบนต้นดงดำเปลี่ยนจากสีเขียวกลายเป็นสีเหลืองนวลแล้ว เมื่อฤดูฝนมาเยือนอย่างจริงๆจังๆ ใต้ต้นเต็มไปด้วยผลดงดำที่ร่วงหล่นจากการกิน(ทิ้งกินขว้าง) ของลิง และจากเหตุอื่นๆ แต่มันก็ไม่ได้เน่าสลายหายไปอย่างสูญเปล่า เพื่อนไพรอย่างฝูงหมูป่า เข้ามาใช้ประโยชน์อย่างสุขสม จนต้องมอบของขวัญของฝากไว้ให้ตอบแทนความโอชา (แต่กว่าของฝากเหล่านั้นจะซึมลงไปถึงรากใต้ดิน กลิ่นที่มีคงตลบอบอวลอยู่หลายวัน) นอกจากที่ทิ้งรอยเท้านับไม่ถ้วนไว้ทั่วบริเวณ ช่วงนี้ผมก็เห็นรังหมูป่าบ่อยๆด้วย
    ไปไหนมาไหนก็เห็นแต่ต้นดงดำผลดกทั้งบนพื้นและบนต้นกับทางด่านที่เต็มไปด้วยขี้หมู
    พืชพรรณบางชนิดกระจายพันธุ์ได้ด้วยตนเอง แต่บางพันธุ์ต้องมีผู้ช่วย, สัตว์ป่า
    ผมคิดว่าหนึ่งในผู้ช่วยกระจายพันธุ์ชั้นดีของป่าน่าจะมีชื่อของ สปั้ด เจ้าแห่งถุงแก้มลิงเป็นแน่
     กลับไปมองที่ยอดตะเคียน ความเอร็ดอร่อยยังคงร่ายมนต์สะกดฝูงลิงอยู่
    ขอบคุณหนอนตะเคียนที่ทำให้ผมเสร็จงานไป 2 ตัวแล้ว แม้นจะปวดคอนิดๆ
    และที่เยี่ยมยอดกว่านั้นคือ ตอนนี้ 08:16 น ลิงเริ่มไต่ลงต่ำมาแล้ว เดาได้ไม่ยากครับว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร เพราะมันเป็นวงจรอย่างนี้มาหลายวันแล้ว เสร็จจากหนอนบนยอดไม้ ก็ลงมาจัดการกับ ผลกล้วยค่าง(Alphonsea boniana) ที่ปีนี้เป็นปีแรกที่ผมได้เห็นผลสุกของมัน จากที่เคยเห็นแค่ผลดิบรูปร่างคล้ายถั่วลิสงแต่ขนาดใหญ่กว่า สามเท่าได้-จนเราให้ชื่อเล่นว่า ถั่วป่า มาปีนี้ลูกโตเท่าโทรศัพท์มือถือและมีสภาพเนื้อเหมือนกล้วยมากขึ้น ถึงแม้นรสชาติจะยังไม่ใช่ก็ตาม- ฝาดๆ ไม่เปรี้ยว ไม่หวาน
    ลิงหลายตัวนั่งกินกล้วยค่างอย่างสบายใจหมดลูกนี้ เอื้อมคว้าลูกนั้น ลิงบางตัวต้องรีบเด็ดรีบเก็บ กัดกิน  ลูกลิงก็หัดเลือกกิน ได้ผลสุกบ้าง-กินได้, ผลไม่สุกบ้าง- กินได้ แต่ไม่อร่อย ต้องทิ้ง
    และเท่าที่เห็นยังไม่มีใครจะมาชิงตำแหน่งจาก สปั้ดได้เลย
สำหรับตำแหน่ง “เจ้าแห่งถุงแก้มลิง”
ผมได้แต่หวังว่าตอนนี้ สปั้ดคงกำลังนั่งเอาไหล่ดุนเอาผลดงดำออกมาเลาะเล็มเนื้อรสหวานอมเปรี้ยว ก่อนจะคายเม็ดลงพื้น อยู่ที่ไหนสักแห่งในป่า คงยังไม่ได้ไปรวมฝูงกับเจ้าแว่นตา จ่าฝูงตัวก่อน








4.วันนี้เห็นช้างไหม

ลึกลงไปยังใต้ผืนดิน แขนงรากต่างๆกำลังซึมซับความชุ่มชื้นที่เอ่อล้นมาจากความเปียกปอน ธารน้ำเล็กๆหลายสายไหลลู่ลงมาตามความตระหง่านของลำต้น เปลือกขรุขระที่ให้เฉดสีต่างกันและรอยเว้าแหว่งแยกสายน้ำให้พรากจากกันในบางช่วง แผ่นไลเคนสีเขียวอ่อนเกาะเกี่ยวหยาดน้ำไว้ใช้สอยก่อนปลดปล่อยให้เดินทางต่อ พุ่มใบหนาพราวไปด้วยละอองน้ำ แวววาววิวับไปด้วยความฉ่ำเย็น กิ่งก้านคดโค้งแน่นิ่งอาบชโลมด้วยความเฉอะแฉะ มีเพียงยอดใบอ่อนเท่านั้น ที่ขยุกขยิกสั่นไหวจากหยดน้ำค้างที่ทิ้งตัวลงมาตามแรงโน้มถ่วง ค่อยๆลัดเลาะหลุดร่วงลงสู่พื้นพรมอ่อนนุ่มของใบไม้แห้งอิ่มฝน
“แคร็ก แคร็ก แคร็ก …ครื้ด….โครม…..ม” – อ่านเสียงลากยาว!
เสียงที่ได้ยินอยู่เสมอในฤดูแห่งการเปียกปอน- เสียงต้นไม้ใหญ่ที่ล้มลงแล้วลากเอาเพื่อนบ้านเรือนเคียงลงไปด้วย
มีความเป็นไปได้อย่างอื่นอีกไหมสำหรับต้นไม้เล็กๆที่อยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ กับเหตุการณ์อย่างนี้ เมื่อต้นไม้ใหญ่ไม่อาจทัดทานความเกรี้ยวกราดของพายุฝนที่โหมกระหน่ำเช้ายันเย็น หรืออาจจะเป็นความผุกร่อนหมดอายุขัยของลำต้นที่ได้เวลาเปลี่ยนสถานะ หรืออาจจะเป็นความอ่อนนุ่มของเนื้อดินที่ดื่มกินน้ำฝนจนเต็มปรี่ ไม่อุ้มชูลำต้นอีกต่อไป
เถาวัลย์ที่พันเกี่ยวผูกร้อยจากอีกต้นไปอีกต้น กิ่งก้านสาขาที่เหยียดยื่นขยายยาวออกไป
…ความเหนียวแน่นและความแข็งแกร่งที่มีนั้น
ได้กลายเป็นสาเหตุของความมโหฬาร- ความมโหฬารแห่งความสูญเสีย!
เสียงโครมครามในยามค่ำคืนที่เงียบสงัด แปรเปลี่ยนเป็นความระเนระนาดของไพรพรรณ เมื่อฟ้าสางตะวันสาดแสง, วันใหม่มาเยือน
บางต้นโค่นล้ม เผยให้เห็นแขนงรากขาวนวลที่โผล่พ้นดิน ขึ้นมาสูดอากาศ แล้วขาดใจ
บางต้นแตกปริ เปลือกฉีกขาดหลุดลุ่ยไม่มีชิ้นดี ส่งกลิ่นเตะจมูกออกมาจากเนื้อใน
บางต้นผิวถลอกปอกเปิด กิ่งไปทางก้านไปทาง ตรงกลางแผลเหวอะหวะ
บางต้นเนื้อแน่นแข็งแต่เปราะ ขาดตัดกลางต้น ทิ้งอีกครึ่งไว้เป็นอนุสรณ์ ย้อนความหลัง
บางต้นเนื้ออ่อนโอนเอน โน้มโค้งตัวแตะพื้น พุ่มใบยังเขียวสด แต่หมดความมีชีวิตชีวา
ส่วนที่เหลือ ไม่ถูกบดทับตาย ก็ร่อแร่คางเหลือง รอวันสิ้นใจ…
สำหรับผืนป่า การสิ้นสุดชีวิตของต้นไม้ใหญ่เป็นเรื่องน่าเศร้า แต่ก็เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับต้นไม้เล็กๆที่อยู่ใต้ร่มเงา ที่จะได้มีโอกาสลืมตาอ้าปากรับแสงแดด เพื่อผลิตอาหารและเจริญเติบโต
ในเมื่อธรรมชาติเห็นควรว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งก็ต้องเคารพในการตัดสินใจ
ผมนั่งพิจารณาความเป็นไปของเหล่าต้นไม้ที่นอนกอดก่ายรายเรียงอยู่ตรงหน้า ขณะหยุดพักกินข้าวตอนสาย ฝูงลิงเริ่มลงพื้นแล้ว- และมันก็เป็นอย่างนี้ประจำ ที่พอจะเริ่มกินข้าว เป็นต้องลงมาเดินสวนสนามกันบนพื้นทุกที
หลังจากเอร็ดอร่อยกับปลาหวานทอดและน้ำพริกหนุ่มไปได้สักพัก ผมก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง เหมือนจะมุ่งหน้าเข้ามา
“กร๊อบ แกร๊บ ๆ” มันดังอยู่ไม่ไกลเลย –เสียงไม้ไผ่แตกลำ!
ผมมองหน้ากับเพื่อนร่วมงาน แม้นว่าเราจะไม่ได้ถามตอบหรือส่งเสียงคุยกัน แต่เราก็รู้ว่า  “อะไร”อยู่ตรงนั้น เพราะตั้งแต่เช้าแล้วที่ผมเห็นร่องรอยเกลื่อนกลาดระหว่างทาง
หลักฐานของความอิ่มหมีพลีมัน-ต้นไผ่และหน่อไม้สีเขียวอ่อนแตกหักกระจัดกระจายตามทาง พร้อมรอยตีนในขนาดที่ผมสามารถลงไปยืนด้วยสองเท้าได้ กับอีกผลผลิตจากความอิ่มเอมก้อนเท่าหัวเด็กป.2- ป.3 ที่ปล่อยทิ้งเรี่ยราดแต่ไม่เลอะเทอะ
ยังไม่รวมถึงของเล่นที่ถูกถอดถอน- หลักกิโลตามถนน ขอนไม้ข้างทาง และที่ชอบหนักหนาเห็นจะเป็นป้ายสัญลักษณ์ต่างๆ ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไป เมื่อขับรถมาทำงานตอนเช้าๆ
เป็นที่รู้กันว่า ให้เตรียมตัวไว้ได้เลย หากเห็นกิ่ง ไม้หักงอขวางทาง เศษก่อหญ้า และรอยเท้าเปลื้อนโคลน เพราะทางข้างหน้า อาจจะได้เจอ…ช้าง
…เจ้าแห่งสัตว์ป่า (ไม่ใช่ สิงโต อย่างที่ใครๆบอกให้จดให้จำ หรือร่ำเรียนกันมา)
สำหรับพวกเราทีมวิจัยแล้ว ช้างเป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลายในร่างเดียวกัน เพราะเส้นทางส่วนใหญ่ที่เราใช้กันในพื้นที่ศึกษาก็เกิดจากด่านสัตว์ที่มีช้าง เป็นผู้อนุเคราะห์บุกเบิกเปิดทางให้ก่อน บริเวณที่รกชัฏทึบหนาก็กลายเป็นที่โล่งเตียนเป็นช่องเป็นแนวให้ตกแต่งเล็กน้อยก็ใช้งานได้ ในด้านตรงข้าม เส้นทางที่ตัดแต่งเป็นอย่างดี แล้วมีช้างเยื้องย่างพาร่างเคลื่อนผ่าน ต้นไม้ข้างทางก็จะฉีกขาดล้มลงระเนระนาดขวางทับทาง ทำให้เส้นทางที่เดินสะดวกกลับมาผูกสัมพันธ์กับความลำบากอีกครั้ง
ต้นไม้ในป่านอกจากฟ้าฝนลมพายุแล้ว ก็มีช้างนี่แหละที่สามารถล้มโค่นพวกมันลงได้-ไม่นับรวมพวกหน้าขนที่ใส่เสื้อใส่ผ้ากับเลื่อยยนต์หรือขวานคมๆ
ช้างถือว่าเป็น สัตว์ชนิดพันธุ์ร่มเงา (Umbrella species) ซึ่งหมายถึง ชนิดพันธุ์ที่มีอาณาเขตในการดำรงชีวิตกว้างใหญ่กว่าชนิดอื่นๆ และเอื้อให้ชนิดพันธุ์อื่นๆดำรงชีวิตได้ด้วย เพราะ ช้างรู้จักหาแหล่งโป่ง แหล่งฝุ่น สร้างทางด่าน ขุดหาแหล่งน้ำในฤดูแล้ง เปิดพื้นที่รกให้เป็นทุ่งหญ้า รวมทั้งกระจายเมล็ดพันธุ์ ฯลฯ ซึ่งจากกิจวัตรของช้างต่างๆ ก็พลอยทำให้สัตว์อื่นๆได้ประโยชน์ตามมาอีกมากมาย
โดยปรกติแล้ว ช้างจะหลีกหนีคน ยามมันได้กลิ่นหรือได้ยินเสียงแปลกประหลาด นอกเสียว่า มันจะตกใจ หรือจวนตัว หรือบาดเจ็บมา มันจะพุ่งเข้าใส่
และครั้งนี้ก็เหมือนหลายๆครั้งผ่านมา ผมคิดว่ากลุ่มช้างคงได้กลิ่นที่ผิดสังเกตจากพวกเราแม้นเพียงเบาบาง พวกมันพรวดพราดทะลุกลางป่าไผ่ เลี่ยงออกไปอีกฟากอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเสียงกระแทกลมหายใจและลำไผ่แตกจากการย่ำเหยียบด้วยความตกใจ
ฝูงลิงไม่มีตัวไหนส่งเสียงเตือนภัยเมื่อรับรู้การมีตัวตนของเจ้าแห่งสัตว์ป่า ต่างหากินกันตามปรกติ คงเป็นเพราะเห็นว่า ช้างไม่มีอันตรายหรือสามารถที่จะทำอะไรมันได้ ไม่เหมือนงูเหลือมตัวใหญ่ ที่เห็นทีไรเป็นต้องลงไปจ้องลงไปร้องแหกปากเตือนภัย ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่
เกือบทุกเย็นที่ทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตากันที่โต๊ะอาหาร คำถามยอดฮิตคำถามหนึ่งที่ต้องได้ยินคือ 
“เห็นช้างไหม วันนี้?” ซึ่งคำถามนี้เหมือนจะไม่มีอะไรมาก แต่จริงๆแล้วมันไม่ได้มีความหมายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น สำหรับทีมวิจัย เพราะในฝูงสตัมปี้ ก็มีลิงหนุ่มที่ชื่อ ช้าง Chang เช่นกัน และยิ่งด้วยนิสัยที่ชอบไปไหนมาไหนตัวเดียว อยู่ห่างจากแกนกลางฝูง ไม่ค่อยเห็นหน้าเห็นตาเท่าไหร่นักในแต่ละวัน จึงต้องมีการสอบถามว่า มีใครเห็น เจ้าช้างบ้างไหมวันนี้
จนบางทีก็กลายเป็นมุกตลกระหว่างกินข้าวที่บอกว่าวันนี้ เจอช้าง แต่เป็นช้างที่เป็นช้างมีงา ไม่ใช่เจ้าช้าง ,หรือสลับกัน อะไรอย่างนั้น
ช้างตัวจริงๆจากไปแล้ว (ขอให้ไปทางใครทางมันก็แล้วกันนะครับ) ส่วนเจ้าช้างที่เป็นลิง ผมเห็นแว็บๆ ตั้งแต่ตอนที่ลิงเริ่มออกจากต้นนอนแค่นั้น แล้วก็ไม่เห็นอีกเลยจนตอนนี้, เหมือนเคย
เจ้าช้าง เป็นลิงหนุ่มหนึ่งในสมาชิกกลุ่มบอยแบนด์ เป็นลิงที่เราลงความเห็นว่า หน้าตาเกลี้ยงเกลาขาวนวลที่สุด อย่างกับใช้ครีมหน้าเด้ง แถมเนื้อตัวก็ไม่มีแผล หรือร่องรอยจากการต่อสู้ หางไม่สั้นไม่ยาว และขนเกรียนสะอาดไม่หักงอ พูดได้ว่า หล่อเหลาเอาการทีเดียว
เจ้าช้างชอบที่จะไต่อยู่บนเรือนยอดมากกว่าลิงตัวอื่นๆ จึงได้รับฉายาว่า  ทหารอากาศขาดรัก   ยิ่งตรงไหนที่มองเห็นได้ยากยิ่งชอบเข้าไปอยู่ ทำให้สังเกตเก็บงานได้ยากลำบาก จะดีหน่อยที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใครมากนัก และที่เป็นข้อดีอีกอย่างคือ มันมักจะเอนกายหลับนอนมากกกว่าลิงอื่นๆ
บ่อยครั้งที่ผมจะเห็นเจ้าช้างหากินอยู่ห่างไกลออกไปจากฝูงกับเพื่อนต่างวัยของมัน เจ้าตงTonk เพียงสองตัวเท่านั้น
ตง  เคยติดสอยห้อยตามเจ้าคอฟฟี่อยู่ช่วงหนึ่ง แล้วก็หายหน้าพักใหญ่ ก่อนจะกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ มันกลับมาด้วยลูกตาซ้ายเพียงข้างเดียว ลูกตาอีกข้างหายไปไหน? เมื่อเสียเปรียบลิงตัวอื่นอย่างนี้ ทำให้เจ้าตง ต้องออกมาหากินห่างจากแกนกลางฝูงและนั้นคงทำให้ มันได้มาพบเจอคบหากับเจ้าช้าง จนไปไหนมาไหนด้วยกัน
หลายเดือนแล้วที่ผมไม่เห็นเจ้าตงตาเดียว หรือว่ามันได้ออกเดินทางไปตามลำพังเพื่อตามหาลูกตาอีกข้างที่หายไปเสียแล้ว
ทำให้เจ้าช้างต้องหากินอยู่อย่างโดดเดี่ยว,ในบางวัน,อีกครั้ง,อย่างเคย
แต่เมื่อหมดฝนและลมหนาวมาเยือน เจ้าช้างก็ปรากฏตัวให้เห็นบ่อยขึ้น เพราะอะไร?
ก็เพราะ กลิ่นกายสาวยามนี้ช่างหอมหวนชวนตามติดเสียเหลือเกิน กับฤดูผสมพันธุ์
เจ้าช้างยังคงอยู่วงนอกเหมือนเดิม แต่คอยดูความเคลื่อนไหวของลิงตัวอื่นๆเรื่อยๆ หากลิงตัวเมียตัวไหนว่างเว้นจากการตามจีบตามง้อ เจ้าช้างเป็นต้องส่งสัญญาณ ถึงความพร้อมในร่างกายที่มี ไม่ว่าจะเป็น การทำหน้าชวนสยิว(sex face) หรือ การอวดความแข็งแกร่งของช้างน้อย(penis display)ให้สาวๆได้เห็น
และเมื่อความต้องการของทั้งสองฝ่ายลงตัว เจ้าช้างจะเดินนำไปยังที่ลับตาลิงตัวอื่นๆ ก่อนจะปฏิบัติภารกิจอย่างว่า เงียบเงียบ ให้เสร็จสมอารมณ์หมายแก่ทั้งสองฝ่าย
สำหรับพวกลิงหนุ่มๆที่ตำแหน่งในฝูงยังไม่สูงมาก ก็ต้องอาศัยจังหวะฉาบฉวย เล่นทีเผลอนี่แหละ เพราะจะให้ไปเกี้ยวพาราสีกลางกลุ่มและประสบความสำเร็จนั้น โอกาสมีน้อยเหลือเกิน
จากที่สังเกตเห็น เจ้าช้างก็เป็นที่หมายปองของลิงตัวเมียในการณ์นี้เช่นกัน ทั้งลิงแก่ลิงสาวต่างก็หาโอกาสวนเวียนออกไปไกลจากกลุ่ม-ไปใกล้เจ้าช้าง, บ่อยๆ
“แอ๊ว แอ๊ว …” เสียงลิงตัวหนึ่งร้องออกมาอย่างไม่พอใจ
“แก๊ก แก๊ก แก๊ก…” เสียงขู่ดังไล่ตามหลังมาในทันที
ผมรู้ได้เลยว่า มีลิงหนึ่งสักตัวกำลังขึ้นขี่ลิงตัวเมียอยู่ แล้วบรรดาลิงตัวอื่นๆที่เห็นเหตุการณ์เกิดความหึงหวงอิจฉาไม่พอใจ ส่งเสียงวุ่นวายรบรวนกิจกามดังกล่าว
การรบรวนกิจกาม(interfere in sex) สามารถเห็นได้ทั้งในเพศผู้และเพศเมีย รวมทั้งเจ้าตัวเล็กด้วย ที่ไม่พอใจลิงตัวผู้ที่กำลังมีอะไรกับแม่ของมันอยู่( ไม่เข้าใจว่าอะไรเกิดขึ้น-ในปัจจุบัน หรือว่า เข้าใจแล้ว แต่ไม่อยากให้เกิดขึ้น-ในอนาคต เพราะแม่มีน้อง ตัวเองต้องหมดสิทธิ์ในการครอบครองหัวนมเร็วกว่ากำหนด)
การรบกวนมีทั้งการกรีดร้องจากไกลๆ fear scream การเข้ามาจ้องขู่ใกล้ๆ stare หนักเข้าก็มาแตะเนื้อแตะตัว touch body หรือ ตบเบาๆ slap โดยจะมีลิงตัวที่เห็นตัวแรกแล้วไม่พอใจเป็นตัวที่กรีดร้องบอกสมาชิกตัวอื่น…เรายอมไม่ได้ เรายอมไม่ได้!!!
ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นลิงลำดับสูงในฝูงที่ถูกรบกวนระหว่างผมพันธุ์ เพราะลูกพี่แกเล่นทำอะไรแบบนั้นอยู่กลางฝูง ไม่เกรงใจใคร ทำให้ลิงตัวอื่นๆอิจฉาไม่พอใจเข้ามาจุ้นจ้านรบกวน บางครั้งลูกพี่จะรอให้สิ้นกระบวนการปลดปล่อยอย่างสมบูรณ์เสียก่อนจึงจะออกไปไล่พวกที่มาวุ่นวาย แต่บางครั้งก็ไม่รอช้าเข้าตบเข้ากัดทันทีทั้งที่ยังไม่ไปถึงไหน
แต่ก็มีเหมือนกันที่เห็นแล้วไม่ใส่ใจกับเรื่องอย่างว่า ปล่อยให้สำเร็จเสร็จสิ้นโดยไม่รบกวน
แล้วเสียงเอะอะโวยวายก็เงียบลง และคงจะเป็นอย่างนี้ไปตลอดช่วงผสมพันธุ์ เพราะแต่ละตัวก็ต่างอยากจะมีทายาทไว้สืบทอดสายพันธุ์ ใครดีใครได้
เพราะในลิงวอกภูเขา ตัวเมียไม่ได้ตกไข่ทั้งปี จะตกเฉพาะช่วงนี้เท่านั้น ทำให้ตัวเมียที่พร้อมจะตั้งครรภ์ที่มีอยู่หลายตัว สามารถเล็ดลอดสายตาจ่าฝูงออกไปกิ๊กกั๊กกับตัวอื่นๆได้ ซึ่งนี้ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ในแต่ละปี ลูกลิงที่เกิดใหม่ ไม่ใช่หน่อเนื้อของจ่าฝูงทั้งหมด
ฝูงลิงเริ่มนิ่งกันแล้ว ผมหมายถึงเริ่มจับคู่ทำความสะอาดให้กันแล้ว หยุดพักเคลื่อนขบวนสักหน่อย ไม่รู้ว่า เจ้าช้างไปอยู่แห่งหนใดยามนี้ จะมีใครคอยทำความสะอาดให้มันหรือเปล่า หรือบางทีมันอาจจะนอนพักผ่อนอยู่ตามกิ่งไม้ใหญ่แถวนี้ก็เป็นได้ เพื่อดักรอโอกาสแห่งความสุข, โดยที่ผมมองไม่เห็น เพราะเวลามันเดิน มันไม่ได้ทำเสียงอึกทึกเหมือนญาติที่ชื่อคล้ายกันของมัน
สำหรับคนที่มาจากในเมืองมาเที่ยวป่า ก็อยากจะเห็นสัตว์ป่าโดยเฉพาะช้างป่า- ถึงแม้นจะมีรูปลักษณ์ อย่างเดียวกันกับช้างที่เดินอยู่ตามตลาดโต้รุ่ง ติดไฟท้ายที่หางวิบวับๆ ขายอ้อย ขายแตงถุงละ ยี่สิบบาทก็ตาม และยิ่งได้เห็นถนนที่เละเทะไปด้วยลำไผ่แตกหักงอ และกองมูลก้อนใหญ่ตามถน ยิ่งกระตุ้นความอยากที่จะเห็นตัวเป็นๆของ เจ้าแห่งสัตว์ป่ามากยิ่งขึ้น
แต่สำหรับคนที่ทำงานในป่าแล้ว เสือสิงกระทิงกระซู่ หรืออะไรก็ไม่เคยหวั่น แต่พอได้ยินเพียงเสียงลำไม้ไผ่แตกกร๊อบแกร๊บๆหรือเสียงแว้นๆ(แปร๋นๆ) ที่อยู่ไกลออกไป ก็ทำให้ขาสั่น หายใจไม่ทั่วท้อง เหงื่อซึมออกมาเต็มหลังแล้ว
ตกลงว่า คุณอยากเห็น ช้าง ไหม วันนี้?
ทำไมต้องทำหน้างงๆ อย่างนั้นด้วย คุณคิดว่าผมหมายถึงอะไรเหรอ?
ช้าง- ตัวใหญ่ๆที่มีงวงมีงา
หรือ ช้าง-ลิงหนุ่มหน้าขาวที่ชอบไปไหนมาไหนตัวเดียว
หรือ ช้าง-ผู้หญิงคนนั้นที่เข้ามาเที่ยวป่าแล้วอยากเก็บมูลก้อนเล็กๆกลับบ้าน
เอาน่า อย่าคิดมากเลย ปวดหัวเปล่าๆ
งั้น เดี๋ยวเลิกงาน แวะไปที่บ้านพักสิ ผมจะเลี้ยง ช้าง 3 ขวดเย็นๆ
ตกลงนะ 







       5.การเปลี่ยนแปลง

ที่ ต้นนอนTgao
9 สิงหาคม 2553 เวลา 15:32
เมฆขาวขุ่นแผ่กระจายปกคลุมอยู่ทั่วผืนป่า ทำให้บรรยากาศดูซึมซึม ชวนให้ไม่อยากคิดหากิจกรรมอะไรอื่นทำ ลิงหนุ่มสามตัว นอนเรียงรายหงายท้องไร้ขน ปล่อยมือปล่อยเท้าตามแรงโน้มถ่วง, เอกเขนกสบายอารมณ์, รื่นรมย์ยามบ่าย
 สีขาวสะอาดนวลตาของท้องลิง ดูโดดเด่นเสียเหลือเกิน เมื่อทาบทับอยู่บนร่มเงาของกิ่งก้านต้นก่อเปลือกเข้ม
ตอนนี้ฝูงลิงเคลื่อนขบวนเข้ามาใกล้ต้นนอนมากแล้ว ส่วนท้องฟ้านั้นหากจะบอกว่ายังสว่างอยู่ ก็พูดได้ แต่กับความเจิดจ้าแล้วละก็ ไม่หลงเหลือให้เห็นแม้แต่น้อย
จักจั่นเรไรยังคงกรีดเสียงส่งออกมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และนานๆครั้งจะได้ยินเสียงฟ้าร้องให้ไหวหวั่นสักที เหมือนสายฝนกำลังเดินทางมาจากทิศตะวันออก, ไกลไกล
ลูกลิงที่โตแล้วจับกลุ่มหยอกล้อเล่นกัน ส่วนตัวเล็กๆที่ยังไม่หย่านม ก็ร้องงอแงอยู่ใกล้ๆอกแม่ที่กำลังทำความสะอาด, เชื่อมสัมพันธ์ทางสังคม, ให้กับแม่ลิงอีกตัวที่ลูกหลับพร้อมปากคาบหัวนมยืดยานอยู่
แล้วพวกตัวผู้ตัวใหญ่ๆล่ะ หลบหน้าไปนอนอยู่ที่ไหนกันหมด หาไม่เห็นสักตัว แล้วตกลงบ่ายนี้จะได้ทำงานไหม ผมลองไล่เรียงในรายชื่อดูว่า มีลิงตัวผู้เต็มวัยกี่ตัว- 9  ตัว(2 ตัว เห็นบ้างไม่เห็นบ้าง) และรวมไปถึงพวกลิงหนุ่มน้อยอีก 2 ตัว แค่นี้เองเหรอ ลิงตัวผู้ที่โตแล้ว
เราจัดแบ่งลิงตัวผู้เป็น4 วัย คือ วัยเด็กทารก วัยเด็ก วัยหนุ่ม และวัยโตเต็มที่ โดยวัยหนุ่มกับวัยโตเต็มที่จะมีขนาดความยาวของรูปร่างเท่ากัน แต่ขนาดของกล้ามเนื้อจะแตกต่างกัน และการอาศัยพวงไข่ที่ห้อยออกมาจากลำตัวอย่างชัดเจนเพื่อแยกระหว่างวัยรุ่นกับวัยหนุ่ม ส่วนวัยทารกนั้น ถ้าหย่านมแล้วก็ถือว่าผ่านการตัดตัว เข้ารอบต่อไป
จากสมาชิกที่มีอยู่ตอนนี้ ถ้าเกิดต้องไปประจัญบานกับฝูงอื่นๆ จะสู้เค้าไหวไหม, ผมชักไม่แน่ใจ เพราะเวลาไปเจอะเจอฝูงอื่น ทั้งที่อยู่ทางใต้ หรือทางตะวันตก ตัวผู้ตัวใหญ่วิ่งหนีกันขวักไขว่ (ลิงฝูงอื่นยังไม่คุ้นกันมากเท่านี้ เห็นคนตอนไหน ต้องรีบซิ่งหนี) อย่างน้อยก็ 5-7 ตัว
แต่ที่นี้ เดี๋ยวนี้ พอจะพึ่งพาได้เต็มที่ก็เห็นมีแค่ อาคิเลส Achilles, บรูโน Bruno และ ร็อกกี้ Rocky จ่าฝูงของเราที่ขาเป๋นิดๆ ตาเหล่ หน่อยๆ( แต่คงมีดีพอตัว) ส่วนพวกหนุ่มใหญ่อย่าง โบโนโบ้ Bonobo, ลิมLimp, คัตCut คงพอช่วยได้ในระดับหนึ่ง อ้อ แล้วก็ลิงมากประสบการณ์(มากอายุด้วย)อย่างตาพังค์ Punkด้วย  ส่วน ช้าง Chang  และ วอลเลส Wallace นั้นคงไม่ต้องไปพูดถึง เพราะขนาดจะมองหาในฝูงเองแต่ละวันก็ลำบากแล้ว ไม่รู้ว่าในหนึ่งเดือนมานอนร่วมกับเพื่อนฝูงกี่ครั้ง
ไม่เหมือนสมัยที่ แว่นตา Wendaa จ่าฝูงตัวเก่ายังอยู่
สมัยนั้นน่าเกรงขามกว่านี้หลายขุม ทั้ง เจ้านาย Jownai  สปั้ด Spud  สุดหล่อSootlaw  ศอกSoawk  คอฟฟี่Coffee และเจ้าแว่นตาเอง แต่ละตัว บึ๊กๆ แน่นๆ ทั้งกล้ามแขน กล้ามขา และกล้ามหน้าท้อง มองไปทางไหนต้องได้เห็นตัวผู้ตัวใหญ่ๆไม่หนึ่งก็สองตัว ให้สบายใจสบายกายในการทำงาน-บันทึกพฤติกรรมของลิงตัวผู้แต่ละตัวตามรายชื่อ เป็นเวลา 30นาที ว่า ทำอะไร กินอะไร อยู่กับใคร บ้าง, ไม่ต้องเดินค้นหาให้เมื่อยตุ้ม
และหากจะมีเรื่องมีราวกับฝูงอื่น ก็คงสูสีดู๋ดี๋ กินกันลำบาก
ใช่ว่าภายในฝูงเองจะไม่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง แต่ในทุกๆครั้งกจบลงด้วยความเรียบร้อย จากความเด็ดขาดของแว่นตา-จ่าฝูงขนสีน้ำตาลเข้ม และมีทีมงานมากประสบการณ์ที่คอยช่วยเหลืออย่าง เจ้านาย สปั้ด และตาพังค์ (แต่ก็มีการขัดเคืองกันเองบ้างภายในก๊กของลิงอาวุโสเหล่านี้)
ในช่วงแรกที่เริ่มเก็บข้อมูลอย่างหยาบๆนั้น ต่างก็คิดว่า เจ้านายJownai คือจ่าฝูง,ดังนั้น เราจึงตั้งชื่อให้ลิงตัวใหญ่ ขนสีน้ำตาลอ่อน ร่างกายกำยำ ผู้ซึ่งมักมีบทบาทสำคัญในการหยุดการทะเลาะกันภายในฝูงว่า- เจ้านาย
และมันคงจะเป็นอย่างนั้นอยู่นานที่เจ้านายเป็นจ่าฝูง ก่อนที่เราจะมาเก็บข้อมูลลงรายละเอียดมากขึ้นโดยการรวบรวมข้อมูลของการแยกเขี้ยวกลัว(bare teeth, BT) และการขยับตัวหนี(make room, MR) อันเป็นพฤติกรรมเกรงกลัวที่นำมาใช้จัดลำดับชั้นทางสังคมในฝูงลิงได้ค่อนข้างน่าเชื่อถือและเป็นที่นิยม
ซึ่งผลปรากฏออกมาว่า แว่นตา กลายเป็นจ่าฝูงแทน เจ้านายไปแล้ว
และเหมือนในหลายสิ่งหลายอย่าง ที่พอเรารับรู้ หรือเมื่อเฉลยแล้ว สิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นไปอย่างนั้นก็จะทยอยออกมา สนับสนุนให้ความคิดอย่างนั้นลอยเด่นขึ้นมา ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ไม่มีวี่แววใดใดเลย
เจ้านายมีเรื่องกับแว่นตายามใด ต้องถอยหนีและแยกเขี้ยวกลัวทุกที
แต่หลังจากมีเหตุปฏิวัติครั้งสำคัญในเมืองหลวง
เพียงสองวัน
ในกลางป่าลึกก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดคิดเช่นกัน
เช้าตรู่วันนั้น, บรรยากาศในป่าดูสดชื่นแจ่มใสไม่มีทีท่าว่าจะเกิดเรื่องร้ายใดใด
ฤดูแห่งความเปียกปอนเก็บข้าวของโบกมือลาไปเกือบอาทิตย์แล้ว เมื่อย่างเข้าหน้าหนาวลิงจะตื่นสาย (ทำให้เราตื่นช้ากว่าเดิมได้ด้วย) และเข้านอนเร็ว ตอนเช้าเมื่อตื่นแล้วก็จะพากันนั่งอาบแดดอุ่นๆบนต้นนอนก่อนสองถึงสามนาน จะออกเดินทาง
แต่วันนั้น เดินเหนื่อยอีกอึดใจจะถึงต้นนอน เสียงกัดกันก็ดังขึ้น
เอาอีกแล้ว ทะเลาะกันแต่เช้า เป็นอย่างนี้ประจำ ตื่นเช้าต้องออกกำลังกายกัน, เล็กๆน้อยๆ
แต่วันนั้น ฟังดู เกรี้ยวกราด ยุ่งเหยิง และเนิ่นนาน- กว่าปรกติ
เสียงร้องขู่… เสียงกรีดร้อง… เสียงประลองกำลัง
 เสียงกัดขย้ำ …เสียงท้าทาย …เสียงดูชั้นเชิง
 เสียงแข็งกร้าว… เสียงของการต่อสู้ห้ำหั่น-อย่างเอาเป็นเอาตาย
แม้นว่าตะวันจะพ้นทิวเขามามากแล้ว แต่คลุ้งหมอกหนาที่ลอยล่องอยู่ก็เบียดบังความสว่างให้มองไม่เห็น และที่สำคัญ เมื่อเราวิ่งไปถึงต้นนอน, ที่เกิดเหตุ
 การประลองยุทธ์ก็จบลงแล้ว
แต่ยังมีลิงอีกตัวที่นั่งกู่ก้องร้องส่งสัญญาณอะไรบางอย่างอยู่, เจ้านาย นั่นเอง
โอ้! ที่แขนขวามีแผลเป็นทางยาวเห็นเลือดสีแดงเข้มชัดเจน เจ้านายนั่งร้องไปเลียแผลไป
แล้วฝูงลิงก็เริ่มเคลื่อนตัวออกจากต้นนอน บ่ายหน้าขึ้นเหนือ ออกหากิน
เจ้านายยังคงนั่งส่งเสียงที่ฟังดูตื่นตระหนกเจือปนความห่วงหาเพื่อบอกเรื่องราวบางอย่าง แต่สักพักก็จากต้นนอนไป, เป็นตัวสุดท้าย
ทำงานไปได้พักใหญ่ ผมก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปรกติ
หนึ่ง  เจ้านายไม่ได้เข้ามาปรากฏตัวอยู่ใจกลางของฝูงเหมือนเคยได้แต่เดินตามหลังห่างๆ
สอง ตัวผู้ที่เดินควงสาวแบ็คกี้ Baggy ไม่ใช่ แว่นตา แต่เป็น อาคิเลส- ก็เมื่อวานและอีกหลายวันที่ผ่านมา ที่ตามติดชนิดไม่ให้สาวแบ็กี้คลาดสายตาเป็นเจ้าแว่นตานี่หน่า
สาม อาคิเลส มีแผลฉีกที่ปาก เลือดไหลตลอดเวลา และที่ง่ามนิ้วมือก็มีเลือดไหลเป็นทาง ต้องคอยหยุดเลียบ่อยๆ
และสี่ ที่ผิดปรกติที่สุด คือ ยังไม่มีใครเห็น แว่นตา เลย ตั้งแต่เช้า
ตลอดทั้งวัน ไม่ปรากฏเงาของ แว่นตาเลย และตลอดทั้งวันเจ้า อาคิเลส ก้ไม่ว่างเว้นจากการเข้ามาทักทายจากวกลิงหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันเลย  โดยเฉพาะ ร็อกกี้ และ ศอก ส่วนลิงอาวุโสทั้ง สปั้ด พังค์ และเจ้านาย แทบไม่เห็นเข้ามาใกล้ ใจกลางฝูงเลย คงเป็นเพราะช่วงนี้-ช่วงฤดูผสมพันธ์ แต่ละตัวต่างจดจ่อ ตามติดอยู่กับสาวน้อยสาวใหญ่ที่หมายปอง
หรือว่ามันมีเหตุผลอย่างอื่นอีก?
เมื่อลิงจับคู่ทำความสะอาดรอบสุดท้ายของวัน และเงียบเสียงลง เราก็เก็บอุปกรณ์ จดเวลาและชื่อต้นนอน
 …17:05 ต้นนอน Ttag …8  พฤศจิกายน 2550
กล่าวร่ำลาฝูงลิง บ่ายหน้าออกเดินไปสู่ถนน กลับบ้านพร้อมความสงสัยในใจ
หรือว่า จะเกิด การปฏิวัติ ในฝูงลิง? 

ที่ต้นนอน Tnon
 9 พฤศจิกายน 2550 เวลา 16:32
เมื่อวานทั้งวัน วันนี้ก็ทั้งวันที่ผมไม่เห็นแว่นตา ค่ำนี้ฝูงลิงกลับมานอนต้นเดิมที่เกิดเหตุอีกครั้ง ผมหวังว่าคงมีโอกาสจะเจอแว่นตา
แต่ก็อาจเป็นไปได้ที่ แว่นตา ได้หลบหน้าหนี ย้ายไปอยู่กับฝูงใหม่แล้ว
หลังจากความพ่ายแพ้ เสียตำแหน่งจ่าฝูงให้กับ เจ้า อาคิเลส
ใช่ครับ ตอนนี้ อาคิเลส เป็นจ่าฝูงตัวใหม่แล้ว และดูท่าทางจะภาคภูมิใจในตัวเองน่าดู เพราะไม่ว่าเจอใครเป็นต้องแสดงฐานะ ด้วยการใช้กำลังข่มขู่ทุกที
ขณะกำลังมองหาลิงเป้าหมายที่จะบันทึกเป็นรายต่อไป
ผมก็เห็นแว่นตา !
ตอนแรกนึกว่าไม่ใช่ แต่พอเข้าไปใกล้ ใช่แล้ว เจ้าแว่น นั้นเอง
มันยังไม่ได้ย้ายไปอยู่ฝูงใหม่ และคงไม่ย้ายไปไหนเป็นแน่ ผมรู้เมื่อมองเห็นมันได้สักพัก
เพราะตอนนี้ มันได้นอนแน่นิ่งอยู่โคนต้นตะเคียน ใกล้ต้นนอนนั่นเอง
…มันตายแล้ว แว่นตา ตายแล้ว
ผมวางกระเป๋าเป้ เก็บอุปกรณ์  ร้องบอกเพื่อนร่วมงาน พร้อมกับขยับเข้าไปดูใกล้ๆ

…และนี่คือสิ่งที่พบเห็นทั้งหมดบนร่างไร้ลมหายใจของเจ้าแว่นตา จ่าฝูงตัวเก่า
แผลฉีกขาดลึกถึงกะโหลกตรงบริเวณตาทั้งสองข้าง –ลูกตาข้างขวาหายไป
ผมใส่ถุงมือยางสองชั้นแล้วขยับร่างเจ้าแว่นดูให้ถนัดถนี่ โดยไล่ลงมาทางซีกซ้ายก่อน
แผลข้างแก้มเป็นทางยาวประมาณ 5  cm ไม่ลึกเท่าไหร่นัก
รอยฉีกใต้คาง 3 cm
ข้อมือมีรอยกัดลึกจนเห็นกระดูก นิ้วชี้หายไปครึ่งนิ้ว นิ้วกลางขาดร่องแร่ง
ใกล้ข้อศอกมีรอยกัด สองแผลไม่เล็กไม่ใหญ่
เหนือเอวมีรอยกัดอีกสองที่ เห็นชัดแต่ไม่ลึก
แผลฉกรรจ์ บริเวณพวงไข ลึกน่ากลัว ยาวประมาณ 5 cm
ใต้หัวเข่าด้านข้างแผลเหวอะหวะลึกจนเห็นเส้นเอ็น
ใต้ผ่าเท้ามีแผลบาดยาวไปจนถึงนิ้วกลาง
พลิกไปอีกข้าง…
ใต้เท้าฉีกขาดเนื้อวิ่น น่องล่างมีรอยกัด เนื้อหายไปนิดหน่อย
แถวเอ็นร้อยหวายฉีกจนเห็นเนื้อขาวๆ
แต่ด้านหลังหัวเข่าตรงข้อพับ เนื้อหายไปจนเห็นเป็นหลุม
น่องส่วนบนด้านในมีแผลลึกยาวไปจนถึงหน้าท้อง
ส่วนบริเวณก้นด้านหลัง มีแผลฉีกขาดถึงกล้ามเนื้อ ยาวเกือบ 10 cm ได้
…ตรงนี้ดูรุนแรงมากที่สุด
ผมพลิกตัวเจ้าแว่นไปบอกเพื่อนให้จดรายละเอียดไป พร้อมกับความสงสารที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ …กะเอากันให้ตายหรือไม่ก็พิการสาหัสไปเลยเหรอเนี่ย -ผมไม่คิดว่าเจ้าอาคิเลสจะโหดร้ายได้ขนาดนี้
ไม่มีเลือดสักหยดให้ส่งกลิ่นคลุ้งคาว เนื้อตัวยังคงนิ่ม แต่เรือนกายขืนแข็ง อยู่ท่าไหนก็ท่านั้น เช้าวันนั้น มันคงไม่สามารถเดินทางไปกับฝูงได้ อยู่เลียแผลตัวเดียว
แต่สุดท้ายทนพิษบาดแผล(ที่มีเกือบทั้งตัว)ไม่ไหว ไม่ว่าเป็นใครก็คงทนไม่ไหวแน่นอน
สิ้นใจใกล้ต้นนอน
เมื่อพิจารณาจากสภาพที่เห็น ไม่น่าจะเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว เพราะเมื่อเทียบขนาดตัวระหว่างแว่นตา กับ อาคิเลส แล้ว แว่นตายังตัวใหญ่กว่าเยอะ แต่ที่เห็นกลับเป็นแว่นตาฝ่ายเดียวที่มีบาดแผลเละเต็มตัว เจ้าอาคิเลสมีเพียงปากฉีกและนิ้วบาดเท่านั้น และลิงตัวอื่น ก็ไม่มีใครเป็นอะไร
ที่จะเป็นไปได้ คือ เกิดการรุมทำร้ายเสียมากกว่า อาจจะเป็น สองต่อหนึ่ง หรือสามต่อหนึ่ง
โดยมีเจ้าอาคิเลสกับร็อกกี้เป็นตัวหลัก และอาจจะมี เจ้า ศอก ด้วย ที่ร่วมกันถล่มบัลลังก์เจ้าแว่นตา
    และการปฏิวัติในครั้งนั้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆตามมามากมาย โดยเฉพาะการจัดลำดับชั้นสังคมภายในฝูง ยิ่งตอนนั้นอยู่ในช่วงผสมพันธุ์ด้วย
    ความสงบสุขหายไป เสียงทะเลาะเบาะแว้ง ต่อสู้มีให้ได้ยินบ่อยขึ้น เมื่อมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจ แต่ละตัวต่างก็ถือโอกาสผลักดันตัวเองให้มีฐานะสูงขึ้น กลุ่มขั้วอำนาจเก่าลิงแก่ทั้งหลายต้องลดบทบาทลง ส่วนพวกลิงหนุ่มกลุ่มอำนาจใหม่ต่างก็เสียงดังขึ้น
    แต่ก็วุ่นวายอยู่สักพัก เพราะเมื่อตำแหน่งต่างๆลงตัว ความสงบสุขก็กลับคืนมาเหมือนเดิม
    พร้อมกับจ่าฝูงตัวใหม่ อาคิเลส
    มันไม่มีอะไรที่จะต้องอธิบายให้ยุ่งยาก ในธรรมชาติผู้ที่แข็งแกร่งกว่าย่อมเป็นผู้ชนะ
    ลาก่อน แว่นตา







6.วันนั้นกับเจ้านาย

พงหญ้าข้างถนนที่ได้รับความชุ่มชื่นจากสายฝนจนงอกเงยเกินงาม ได้รับการตัดแต่งให้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย ด้วยคมมีดจากแรงงานคนและเครื่องยนต์ชนิดเดินตาม
…จากทรงผมนักร้องนำวงร็อคปี80 ที่ยาวสลวยสวยพลิ้ว
กลายเป็น…ทรงทหารเกณฑ์ที่มารายงานตัวเข้ากรมกอง
…ความเรียบร้อยกับความงดงาม บางทีก็เป็นคนละเรื่องเดียวกัน…
เศษใบหญ้าที่ถูกตัด ปกคลุมผิวถนน ดูดั่งพรมอาหรับสีเขียวปูทาบทับยาวไปหลายร้อยเมตร กลิ่นหญ้าตัดใหม่ ถึงแม้นจะไม่หอมหวนชวนฝัน แต่ทำให้ความรู้สึก กระปรี้กระเปร่าวิ่งไปวิ่งมาในเนื้อตัวอย่างไงอย่างงั้น
    หลังจากส่งลิงขึ้นต้นนอนTmoi แล้ว(เย็นนี้ลิงขึ้นต้นนอนกันเร็ว)ผมก็รีบตะเกียกตะกาย
ออกจากป่า ซึ่งตลอดทางที่ดุ่มเดิมกลายเป็นปลักโคลนย่อมๆ อันเนื่องมาจากความชุ่มช่ำจากสายฝนที่ตอกบัตรทำงานทุกบ่ายไม่เคยขาดสักวันตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม
    และเมื่อออกมาถึงทางลาดยาง ผมก็รีบบึ่งรถมุ่งหน้ากลับที่พัก เพราะเมื่อมองดูนาฬิกาแล้ว คงจะมีโอกาสได้ใช้เวลาที่ยังเหลือกว่าจะมืด ไปร่วมเล่นตะกร้อสักหน่อย
    การเล่นตะกร้อกับพี่ๆน้องๆ ผู้พิทักษ์พงไพรเป็นกิจกรรมที่ผมชื่นชอบและมักไปร่วมเล่นร่วมเฮฮาหากว่ามีเวลาว่างในยามย่ำเย็น บางวันผู้เล่นก็จัดได้หลายทีม ใครแพ้ต้องออกไปนั่งรอจนเหงื่อแห้ง แต่วันไหนผู้เล่นทั้งหลายติดภารกิจต้องไปลาดตระเวน ไปทำค่าย หรืองานอื่นๆ เหลืออยู่ 3คน พวกเราก็ยังแบ่งเป็น สองต่อหนึ่ง แล้วเล่นกันจนเหงื่อท่วมตัว เดินลากขากลับบ้านด้วยความเหนื่อยล้าในความสนุก แต่เมื่อกลับไปถึงบ้าน ก็เริ่มไม่แน่ใจว่า ที่ทำไปเป็นการออกกำลังกายเพื่อให้สุขภาพแข็งแรง หรือทรุดโทรมลงกว่าเดิม, ปล.ถ้าวันไหนคนเยอะจริงๆ เราอาจเล่นฟุตบอลกัน
    ขณะขับรถลงเนินก่อนถึงสะพานห้วยโป่งไฮ ผมนึกถึงความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆที่ทำให้เมื่อวานก่อนทีมตะกร้อของผมสะกดคำว่า “แชมป์” ไม่สำเร็จ มาถึงแค่ สระ แอ แล้ว พ.พานก็เข้ามาแทนที่ ช.ช้าง จากนั้น ไม้โทก็กระโดดลงมา
    น้อยครั้งที่จะมีรถสวนทางมาทั้งตอนมาทำงานและตอนเลิกงาน ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกว่า ถนนสายนี้เป็นของผมแต่เพียงผู้เดียว วันไหนผมอารมณ์ดีดี ผมก็จะ(แหกปาก) ร้องเพลงเสียงดัง (อยู่ในหมวกกันน็อค) เพื่อเพิ่มความน่าอภิรมย์ของโมงยามให้กับตัวเอง
    ปุยเมฆสีขาวก้อนใหญ่สามก้อน วางตัวเป็นแนวเฉียงมีช่องว่างระหว่างกัน และโดยบังเอิญที่มีเส้นสายสีขาวจากไอพ่นเครื่องบินพาดผ่านทั้งสามก้อน …ภาพที่เห็นทำให้ผมอยากกินลูกชิ้นปลานึ่งขึ้นมาทันที
    สักพักก็มีนกเงือกสีขาวดำคู่หนึ่งบินข้ามหัวผมไป – บินต่ำขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย!
    สองข้างทางแลดูชอุ่มชุ่มชื่นไปด้วยความเขียวขจีของต้นไม้มากมายชนิดหลากหลายขนาด ถึงแม้นว่าจะเป็นสีเขียวเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้อยู่ในโทนเดียวกันทั้งหมด จึงทำให้มีความลึกความตื้นและความงดงาม สลับทับซ้อนกัน อย่างที่ป่าอันอุดมสมบูรณ์พึ่งจะมีให้ชื่นชม
    ออกมาจากหมู่บ้านลิง-พื้นที่วิจัย, ความสว่างเจิดจ้าของดวงตะวันยังคงเต็มเปี่ยม เรือนยอดต่างๆดูแจ่มจำรัสในเฉดสีแก่อ่อนของตัวเอง เมื่อมองจากที่สูง ผิดกับตอนอยู่ใต้ร่มใบปก ความครึ้มเขียวจากความสมบูรณ์ของผืนป่าหน้าฝนลดทอนอำนาจการสาดส่องทะลุทะลวงของแสง จนทำให้ความสามารถในการมองเห็นหายหดหมดไปก่อนมืดค่ำ
    กลุ่มเมฆขาวนวลเคลื่อนตัวมุ่งหน้าไปทำธุระบางอย่าง จนทำให้มองเห็นแผ่นฟ้าสีครามสดใส เป็นที่ว่างขนาดใหญ่ ใหญ่ที่สุดเท่าที่ได้เห็นในวันนี้ -โล่งโจ้งปลอดโปร่ง สะอาดตาสบายใจ พระพิรุณคงไปมอบความชุ่มฉ่ำที่ไหนสักแห่งและไม่ใช่ทิศทางที่ผมมุ่งไปด้วย เพราะทางนั้นท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆครึ้มมืดดำ จะมีก็เพียงความเฉอะแฉะบนพื้นถนนเท่านั้นที่บ่งบอกว่า พระพิรุณได้จาริกผ่านมาทางนี้แล้ว – เย็นนี้คงได้เรียกเหงื่อก่อนอาบน้ำกับการเล่นตะกร้อสักหน่อย
    ในช่วงวัน ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปไปทำหน้าที่ตามภารกิจที่มี และอาจจะไม่ได้เจอะเจอหรือพูดคุยกันเลยทั้งวัน ก็มีช่วงเย็นหลังเลิกงานนี่แหละ ที่จะได้เห็นหน้าเห็นตากัน มีกิจกรรมร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น เล่นกีฬาเสียงดัง หรือนั่งล้อมวงคุยกันนั่นนี่โน่นเงียบๆ ก่อนจะแยกย้ายกันอีกครั้งไปพักผ่อนหลับนอนบ้านใครบ้านมัน และบ่อยครั้งที่มักจะมีการกินข้าวเย็นร่วมกันและดื่มนั่นนี่โน่นต่อ
    และเหมือนกับฝูงลิง ที่ทั้งวันไม่เห็นหน้ากันเลย ไม่รู้ว่าไปทำอะไรกับใครอยู่ที่ไหนอย่างไร  แต่พอถึงตอนเย็นที่ต้องหยุดหากิน ขึ้นต้นนอนและพักผ่อน สมาชิกท่านนั้นก็จะกลับมารายงานตัวและมีกิจกรรมเล็กๆน้อยๆก่อนขึ้นนอนกับใครสักตัว
    พูดถึงต้นนอน(sleepsite,SS) ฝูงสตั้มปี้ฝูงเดียวมีต้นนอนที่เคยไปนอนมาแล้ว 20 ที่พอดิบพอดี แต่บางที่ไปนอนแค่ครั้งเดียวก็ไม่ไปอีกเลย บางที่กิ่งที่เป็นที่นอนหักหายก็หยุดแวะเวียนไป ทำให้เหลือที่ใช้ประจำอยู่เพียงครึ่ง นอกนั้นก็ประปรายตามฤดูกาลของผลไม้ที่มีอยู่ใกล้แถวนั้น
    ต้นนอนบางต้นต้อง(ขอโทษ-แหกขี้ตา) ตื่น เช้ามากๆเพราะอยู่ไกลจากถนนลาดยางเหลือหลาย ประมาณว่าตอนเดินเข้าไปจากถนน คนยังไม่ตื่นดี เยื้องย่างเหมือนผีดิบ มาตื่นเต็มที่ก็ครึ่งทางที่เหงื่อซึมเต็มหลังแล้ว,เป็นต้นนอนที่กะเช้าไม่อยากได้ยินว่าลิงไปนอน …TwonSS!
    ต้นนอนบางต้นหลับฝันจนถึงฉากสุดท้ายแล้วตื่นขึ้นมาก็ยังไปทัน เพราะอยู่ห่างจากถนนเพียง7 นาทีกับการเดินเข้าไป
    ต้นนอนเกือบทั้งหมดเป็นต้นไทร-มีเพียงTtagSSที่เป็นต้นลูบลีบ และทุกต้นตั้งอยู่ชิดกับธารน้ำ โดยจะนอนอยู่ด้านที่กิ่งก้านโปร่งโล่งและที่เห็นส่วนมากจะเป็นทิศตะวันออก สังเกตไม่ยากว่าฝูงลิงนอนฝั่งไหน-ฝั่งไหนฝั่งนั้นตลอด, เพราะบนพื้นด้านล่าง จะเป็นพื้นที่ว่างกว้างสีเข้ม กลิ่นคละคลุ้ง ไม่มีพืชพรรณใดๆเสนอหน้าขึ้นมาได้ เช่นกันกับกิ่งก้านที่อยู่ระหว่างเส้นทางของการขนส่งของเสีย กิ่งก้านจะมีเพียงความโกร๋นเกรียนปกคลุมเท่านั้น
    ต้นนอนบางต้นก็มีกิ่งก้านสาขาขนาดใหญ่ ให้ฝูงลิงได้ใช้ทำกิจกรรมสุดท้ายของวัน แต่บางต้นก็ไม่ค่อยสะดวกนัก ต้องอาศัยต้นใกล้เคียงก่อน จึงค่อยขึ้นไปเก็บรายละเอียดอีกครั้งบนต้นนอน
    กิจกรรมที่ว่าก็คือ การทำความสะอาด (Grooming) ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกภายในฝูง หนึ่งในพฤติกรรมที่บ่งบอกความเป็นมิตร
 พวกตัวเมียจะมีเหล่าลูกๆคอยเป็นผู้ร่วมกิจกรรมอยู่แล้ว นอกนั้นอาจจะมีตัวอื่นๆที่อยากผูกมิตรมาร่วมด้วย ส่วนตัวผู้นั้นจะคอยมองหาเจ้าพวกตัวเล็กๆที่ป้วนเปี้ยนมาใกล้ๆ หรือที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว และที่เห็นบ่อยๆคือตัวใหญ่เดินเข้าไปหาตัวเล็กก่อนแล้วเริ่มทำความสะอาดให้ด้วยความเอ็นดู สักอึดใจก็หยุด แล้วปล่อยให้เจ้าตัวเล็กตอบแทนบุญคุณ ด้วยระยะเวลาที่ต่างกันโข
ระหว่างตัวผู้และตัวเมียเต็มวัย หากไม่ใช่ช่วงใกล้ฤดูผสมพันธุ์ หรือเป็นการแทนคุณในการช่วยเหลือจากเหตุทะเลาะวิวาท ก็จะไม่มีการทำความสะอาดให้แก่กันข้ามเพศ ยกเว้นแม่ลูกอีกกรณี
หลังจากทำความสะอาดกันเสร็จแล้ว ลิงจะเริ่มจัดกลุ่มจัดก๊กเพื่อเตรียมตัวหลับนอน
เวลาลิงนอน-จะนั่งหลับ กอดกันเป็นก้อนกลุ่ม ผมคิดว่าใจกลางกลุ่มจะเป็นเจ้าตัวเล็ก แต่กลับเป็นเจ้าตัวใหญ่ที่อยู่เป็นแกนกลาง ให้เจ้าตัวเล็กๆได้รับไออุ่นจากวงในยามค่ำคืน จากนั้นถัดออกมาก็เป็นพวกวัยรุ่น บางครั้งกอดกันเป็นก้อนใหญ่ 10 กว่าตัวในหน้าหนาว แต่หน้าร้อน สองตัวใหญ่กับหนึ่งตัวเล็กตรงกลางกำลังดี
ลิงที่เข้าต้นนอนตัวแรกและตัวสุดท้าย ผมสามารถเห็นได้ แต่สำหรับตัวแรกและตัวสุดท้ายที่ออกในตอนเช้า ไม่ค่อยได้เห็นนัก
มีเหตุการณ์หนึ่งที่ผมยังจำได้จนกระทั่งวันนี้(รายละเอียดมาจากสมุดบันทึก) กับความผิดปรกติในการขึ้นต้นนอน
กับวันนั้น วันที่เจ้านาย Jownai-พ่อใหญ่อ้วน ยังอยู่กับฝูงสตั้มปี้
แต่ผมว่าเรามารู้จัก เจ้านายหรือพ่อใหญ่อ้วนกันก่อนดีกว่า
ชื่อของแกนั้นได้รับมาเพราะร่างกายที่หนาใหญ่บึกบึนและเมื่อเทียบในทุกกรณี เจ้านายเป็นลิงที่ตัวใหญ่ที่สุดในฝูง เคราขาวยาวไปทั่วเรียวหน้า ขนสีน้ำตาลอ่อน พุงกลมๆขาวๆพุ้ยๆ-แต่เกิดเหตุทะเลาะวิวาทกันที่ไหน เจ้านายไปถึงได้เพียงพริบตาและเป็นต้องสงบเรียบร้อย
ดังนั้นชื่อ “เจ้านาย” จึงดูเหมาะสมกับ ลักษณะของแกเป็นที่สุด
เจ้านายคงเคยได้เป็นจ่าฝูงอยู่ช่วงหนึ่ง เพราะหลังจากนำ ตัวอย่างอึของลูกลิงในปีที่เราเริ่มงาน ไปวิเคราะห์ หาดีเอ็นเอ ผลปรากฏว่า มีหลายตัวเป็นลูกเจ้านาย แต่ปีต่อมา จ่าฝูงก็เปลี่ยนมือมาเป็น แว่นตา แทน

การเป็นจ่าฝูงจะทำให้เข้าถึงตัวเมียในฤดูผสมพันธุ์ได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ
เจ้านายชอบลูกลิงตัวเล็กและพวกลูกลิงก็ชอบแกเหมือนกัน เวลาแกไปไหนมาไหน จะมีพวกจอมซนล้อมหน้าล้อมหลังไปด้วยเสมอ แต่เท่าที่สังเกตเห็น พ่อใหญ่อ้วนแกจะโปรดปรานลูกลิงตัวผู้เท่านั้น ทั้งอุ้มเล่น ทั้งจับจู๋ดูดจู๋ แถมใจดีให้เกาะหน้าท้องเวลาเดินทางก็มี ส่วนเรื่องเอาไปประกบทำ แซนวิช กับตัวอื่นๆ นั้นไปต้องพูดถึง- บ่อยยิ่งกว่าบ่อย
แล้วพ่อใหญ่อ้วนก็เป็นเหมือนลิงอีกหลายตัว ที่หายไปหลังจากการเปลี่ยนจ่าฝูงครั้งล่าสุด แต่ดูเหมือนเจ้านายจะได้รับผลกระทบมากสุดจากการตายของแว่นตา เพราะแกเป็นลิงที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับแว่นตามากที่สุด เหมือนเบอร์หนึ่งกับเบอร์สองของฝูง  จากเหตุการณ์นั้นทำให้ เจ้านายต้องออกไปอยู่รอบนอกของฝูง หมดความนิยมชมชอบจากพวกตัวเล็กๆและตัวอื่นๆ จะมีก็แต่ลูกของแกเท่านั้นที่อยู่ด้วยไม่ห่าง-เหมือนลิงน้อยจะรู้ได้ว่าใครเป็นพ่อของมัน
แล้ววันหนึ่ง เจ้านายก็หายไปจากฝูง
หลังจากอยู่กับข่าวร้ายมาสักพัก ผมก็ได้รับข่าวดีว่า เจ้านายยังมีชีวิตอยู่ ทีมวิจัยที่ไปทำงานบันทึกชีพลักษณ์ในแปลงพันธุ์ไม้ ไปเห็นแกพเนจรหากินอยู่ตัวเดียว
ความหวังที่จะเห็นเจ้านายคืนกลับมาที่ฝูงดูจะมืดมน แต่แล้ววันหนึ่งมันก็สว่างสดใสขึ้น เพราะวันนั้นขณะที่ผมไปตามลิงอ้ายเงี้ยะอีกฝูง ผมเห็นลิงตัวผู้พุงใหญ่ ขนสีครีม เครายาว เหมือนเจ้านายเปี้ยบ ไต่กิ่งไม้บนเรือนยอด ตามฝูงลิงที่กระโดดหนีไป หลังจากที่มองเห็นผม
ลิงตัวนั้นไต่ขึ้นไปได้สักพัก ก็หยุดนั่งแล้วหันหน้าหันหลัง เกาสีข้าง
นั่นไง! หางหักปลาย และนิ้วชี้หักงอ เป็นเจ้านายจริงๆด้วย ย้ายมาอยู่ฝูงนี้นี่เอง ผมรู้สึกดีใจด้วยกับแกที่จะได้มีเพื่อนมีฝูง ดีกว่าอยู่ตามลำพังตัวเดียว ลิงฝูงนี้ผมเคยเห็นพวก บอยแบนด์แวะเวียนมาบ้าง
    เจ้านายเคยกลับมาเยี่ยมเยือนฝูงสตั้มปี้ หนึ่งครั้ง แต่ก็เป็นเพียงการเดินผ่านเข้ามาทักทายแล้วก็จากไปในเวลาไม่ถึงสิบนาที พวกตัวเล็กๆวิ่งตามแกให้ควักพร้อมกับส่งเสียงเจี้ยวจ้าว และในเมื่อต้นนอนของฝูงสตัมปี้ ก็มีลิงฝูงอื่นมาใช้บริการร่วมด้วย ผมจึงคิดว่าคงมีโอกาสที่จะได้พบเจอพ่อใหญ่อ้วนอีกเป็นแน่ หรืออาจจะเป็นระหว่างเดินตามล่าหาลิงกลุ่มใหม่ที่ใช้พื่นที่ป่าร่วมกัน
    ยาวเลยสำหรับการแนะนำตัวสั้นๆเกี่ยวกับเจ้านาย,พ่อใหญ่อ้วนใจดี
    งั้นกลับไปที่เหตุการณ์ที่จะเล่าดีกว่า
    วันนั้น(28.04.07) ออกจากต้นนอนTtagSS ฝูงลิงก็มุ่งหน้าอย่างช้าๆไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ พอสายหน่อยก็หักหัวขบวนกลับลงมาทางทิศใต้ ช่วงเช้านี้ยังคงหากินกันอยู่ในระดับสูงอยู่ จนเลยเที่ยงวันมานิดๆ บางตัวก็เริ่มลงมาหาจับกินหนอน กินแมงมุมตามพื้นล่าง ผมดูตามแผนที่และทิศทางที่ลิงเคลื่อนตัวแล้ว มีความเป็นไปได้ที่ค่ำนี้คาราวานลิงจะจอดแวะค้างแรมที่TnonSS
พวกตัวเล็กๆเล่นกันไปตามธารน้ำที่แห้ง กระโดดขึ้นกระโดดลงอย่างสนุกสนาน ส่วนพวกตัวใหญ่ก็หาแมงมุมตามใบไม้เลาะขอบตลิ่ง แต่ส่วนมากจะเดินเรื่อยเปื่อยไม่ได้ตั้งใจหากินเท่าไหร่นัก และดูเหมือนว่าจะเร่งจังหวะการเดินเสียด้วยซ้ำ
ไม่นานท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้ม เสียงอื้ออึงที่ได้ยินบ่งบอกถึงความเปียกปอนที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามาใกล้ แล้วสักพัก เม็ดฝนก็โปรยปรายลงมา ต่างก็รีบที่หลบฝนทั้งคนทั้งลิง บ้างก็ครึ่งนั่งครึ่งนอนเบียดตัวอยู่ในพุ่มไม้ใบหนา และส่วนใหญ่จะนั่งกอดกัน จะมีเพียงผม คนเดียว ที่ต้องนั่งเดียวดายใต้ผ้ากันฝนผืนโตที่ประสิทธิภาพการกันน้ำเริ่มลดลงแล้ว
ราวครึ่งชั่วโมงฝนก็ซา แล้วคาราวานลิงก็เริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง ฝูงลิงดูเหมือนกระจักกระจายอยู่ไปทั่วทุกทิศทาง เพราะตอนฝนตกก็รีบหาที่กำบังกาย ที่สามารถเกาะกลุ่มกันไปได้ก็ตามกันไป ที่ตามไม่ทันก็พยายามอยู่กันเท่าที่มีก่อน และถึงที่สุด เมื่อไม่เห็นใคร ก็จะร้องเรียกถามทาง เมื่อได้ยินเสียงตอบรับที่อยู่ไม่ไกล ก็ให้สบายใจ ไม่รีบเร่ง หาอะไรใส่ปากใส่ท้อง แล้วตามเสียงไป
มองไปมองมา ผมจึงรู้ตัวว่ามาอยู่ใต้ร่มต้นไทร TnonSS แล้ว
จะเป็นไปได้อย่างไร ที่จะมาถึงต้นนอนตั้งแต่หัววันขนาดนี้ เพราะนี่ก็เพิ่งบ่ายโมงครึ่งเอง
ผมเกิดความสงสัยขึ้นเพราะไม่เคยเลยที่ลิงจะมาถึงต้นนอนเร็วขนาดนี้
 แล้ว นั่น! นั่น! พ่อใหญ่อ้วน ไต่ข้ามต้นตะเคียนขึ้นไปบนต้นไทรที่เป็นต้นนอนแล้ว คงไม่ใช่การขึ้นไปพักผ่อนธรรมดาเป็นแน่ เพราะที่ผ่านมา ถ้าฝูงลิงได้เข้าต้นนอนแล้ว จะไม่ออกไปหากินอีก- มันไม่เคยปรากฏ
นั่น! นั่น! ศอก (Soawk) กับเจ้าตัวเล็กอีกตัวตามขึ้นไปโน่นแล้ว และอีกหลายตัวก็ทยอยขึ้นไปอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนอน ทั้งที่ตอนนี้ยังไม่บ่ายสองโมงเลย
สักพัก เจ้านายก็ไต่ขึ้นไปขย่มกิ่งไทรเพื่อแสดงความแข็งแกร่งและนัยอย่างอื่น แล้วจึงกลับมานั่งที่ง่ามไม้สามแพร่ง ที่สามารถวางแข้งวางขาได้ถนัดถนี่
สักหน่อย เหมือนจะเข้าไปถามด้วยความสงสัย ศอกก็อุ้มเด็กเดินเข้าไปหาเจ้านาย(การที่ลิงตัวผู้อุ้มลูกลิงน้อยเข้าไปหาลิงตัวผู้อีกตัว เป็นการบ่งบอกว่าการเข้าไปหานั้นเป็นไปอย่างมิตร ไม่ใช่เข้าไปหาเรื่อง) สอบถามถึงสาเหตุของการขึ้นต้นนอนแต่วัน และเมื่อได้คำตอบที่ชัดเจนแล้ว (ผมคิดเอาเอง) จึงเดินออกจากเจ้านายมาอยู่ห่างๆ
ลิงหลายตัวจับจองกิ่งก้านในระดับสูงเพื่อเป็นที่พักผ่อนนอนหลับและเริ่มกิจกรรมสังคมอย่างสุดท้าย ทำความสะอาดกันก่อนเข้านอน- วันนี้คงไม่ได้เดินทางอีกแล้ว ผมแน่ใจ!
เจ้า ดราก้อน Dragon ลิงรุ่นกำลังซน เข้าไปหาเจ้านายแล้วปฏิบัติตัวเป็นลิงเล็กที่ดี หาสิ่งแปลกปลอมตามเนื้อตามตัวให้พ่อใหญ่ ตามปรกติแล้วพวกตัวเล็กๆจะเล่นกันจนมืดค่ำจนจะเข้านอนจึงจะเลิกซน แต่วันนี้มันคงแปลกใจ จึงเลิกเล่นเร็วและหันมาทำความสะอาดให้กันและกัน
แว่นตา เข้ามาคุยกับพ่อใหญ่อ้วน ถึงความเป็นไป เมื่อหมดความสงสัย จึงเดินจากไป ปล่อยให้ดราก้อนทำหน้าที่ต่อไป หลังจากเข้าไปขัดจังหวะนิดหน่อย
สาวอีวา Eva เดินผ่านทางมาทางกิ่งที่อยู่ด้านล่าง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่พ่อใหญ่อ้วนลุกขึ้นเปลี่ยนท่าให้เจ้าดราก้อนทำงานได้สะดวกขึ้น อีวาเห็นเข้า ก็ตกใจ วิ่งหนีพร้อมกับแยกเขี้ยวให้เจ้านายด้วยความเกรงกลัว จริงๆแล้วเจ้านายไม่ได้คิดจะทำอะไรเธอเลย แต่เมื่อเห็นสาวอีวาตกใจก็เลยคิดสนุกจ้องขู่ไปนิดๆ แล้วก็มาเฉลยเจตนาด้วยการยกหน้าผาก (Lift)ให้สาวอีวา ว่า ทั้งหมดคือการหยอกล้อเท่านั้น สาวอีวาจึงคลายกังวลเดินกลับที่นั่งที่หมายตาเอาไว้
กิจกรรมสุดท้ายก่อนเข้านอนยังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางความสงสัยทั้งของลิงและของคน แต่เมื่อผู้นำผู้อาวุโส พาปฏิบัติเช่นนั้น ทุกตัวก็ต้องเห็นดีเห็นงามด้วย มันไม่ใช่เรื่องเสียหายอย่างใด
วันนั้น เป็นวันที่สั้นและสบายอีกหนึ่งวัน พักผ่อนมากหน่อย เดินทางน้อยหน่อย พลังงานที่หาได้กับที่ใช้ไปคงไม่ขาดไม่เกินกันมากนัก สำหรับฝูงลิงสตัมปี้
“พรุ่งนี้ ออกจากต้นนอนเช้าหน่อย เดินทางไกลอีกหน่อย คงไม่มีปัญหาอะไร”
เจ้านายคงนอนคิดอย่างนั้น (ผมเดา) ขณะที่นิ้วน้อยๆของเจ้าดราก้อน กำลังคุ้ยแคะหาอะไรบางอย่างบนท่อนแขนของมัน
คงอีกนานกว่า จักจั่นจะเปลี่ยนโทนเสียง แสงตะวันจะเปลี่ยนเฉดสี แล้วอุณหภูมิในป่าจะลดลง
สำหรับผม …วันนั้นของวันนั้น… หมดลงไปอย่างรวดเร็ว
แต่…วันนี้ของวันนี้ …ยังคงยืดยาวยืนระยะไปอีกนาน
นึกถึงตอนที่ผมมาทำงานใหม่ๆ ไม่รู้จักใคร นอกจากเพื่อนที่ทำงานด้วยกันเท่านั้น ก็เป็นกิจกรรมยามเย็นหลังเลิกงานนั้นเองที่ทำให้ผมได้รู้จักเพื่อนๆพี่ๆคนอื่นๆที่ทำงานต่างกัน ที่ให้ความเป็นกันเองกับผม พูดเล่นพูดหัว จนมิตรภาพเกิดมี เล่นกีฬาร่วมกันเสร็จก็ชวนกันกินข้าว หรือมานั่งคุยนั่งดื่มกัน จนสนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ทำให้ผมไม่ฟุ้งซ่านมากนัก เพราะจากบ้านมาไกล มาอยู่ป่า ไฟฟ้าไม่มี ทีวีไม่เห็น เนื้อเย็นไม่พบหน้า
แล้วผมก็ขับรถมาถึงสามแยกจะเลี้ยวเข้าที่พัก เมื่อมองไปที่สนามตะกร้อ ก็ให้เห็นเพื่อนๆมาเดาะตะกร้อรออยู่แล้ว แถมยกมือยกไม้เรียก จนผมต้องยกมือส่งสัญญาณบอก-เดี๋ยวเจอกัน
วันนี้ขอเป็น แชมป์สักหน่อยดีกว่า
แต่คิดไปคิดมา ขอแค่ชนะสัก สองสามเกมก็คงพอแล้ว
ปล.หลายอย่างมากกว่าหนึ่งคงไม่มีใครว่า แต่อย่างนั้นอย่างเดียว ขอแค่หนึ่ง ก็พอ
อะแฮ่ม!








7.เข้ามาแล้วออกไป

ด่านสัตว์ที่ฉ่ำไปด้วยรอยตีนและชุ่มไปด้วยน้ำค้าง พาผมมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกของพื้นที่วิจัย จากทางเข้า TX เพียงไม่กี่สิบก้าวที่เข้าสู่พงไพร ประสาทรับรู้ทางการได้ยินของผมก็ถูกปิดลงแทบสนิท
จักจั่นหมดทั้งจังหวัดคงมารวมตัวกันในป่าแห่งนี้ เข้าแข่งขันชิงความเป็นหนึ่งในการส่งเสียง คล้ายกับหน้าร้อนที่ผ่านมา, เพื่อต่อลมหายใจแห่งเผ่าพันธุ์
โครงคราบแมลงสีน้ำตาลมีรอยแยกด้านหลัง เกี่ยวเกาะอยู่ตามต้นไม้ระหว่างทาง
…จักจั่นลอกคราบ
จักจั่นตัวเมียเพิ่งลอกคราบออกจากเปลือกหุ้มห่อระยะสุดท้าย เพื่อเป็นสาวเต็มตัวพร้อมที่จะสืบพันธุ์ ในขณะที่จักจั่นตัวผู้ได้ต่อสู้ฟาดฟันกันอย่างดุเดือดอืออึ้ง ด้วยการแผดเสียง,มานานแล้ว ตัวผู้ที่อ่อนแอหมดเรี่ยวหมดแรงก่อน โยนผ้ายอมแพ้ร่อนลงมาเกาะอยู่ด้านล่าง-ผู้ท้าชิงในลานประลองหายไปอีกหนึ่งตัว จะเหลือเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้น ที่ถูกเลือกจากจักจั่นสาว
ร่างไร้ชีวิตของจักจั่นผู้แพ้พ่ายค่อยๆถูกเชื้อราเข้าใช้ประโยชน์ จากราสีขาวเป็นราสีเขียว
โอ้ ลืมบอกไปครับ! วันนี้ผมมาเดินตามล่าหาลิงกัง(pig-tailed macaque) ลิงอีกชนิดที่เราสนใจศึกษาวิจัย
ผมหันมองไปทางไหนก็ให้เห็นแต่พุ่มไม้ใบหนา กิ่งก้านคดโค้ง แต่ลำต้นตั้งตรงสูงตระหง่าน บดบังฉากเมฆยามเช้าที่ยังงัวเงียอยู่ในความอึมคึม
สิ่งที่มากับหน้าฝนคือความชุ่มชื่น สิ่งที่มากับความชุ่มชื่นคือความมีชีวิตชีวา และสิ่งที่มากับความมีชีวิตชีวาคือ สรรพเสียงนานาสารพัด
เสียงระงมของจักจั่นแม่ม่ายทรงเครื่องสอดประสานกันออกมาจากทุกทิศทุกทางของผืนป่า และที่แทรกมาเป็นระยะคือ เสียงนกระวังไพร เสียงกระรอกตกใจ เสียงชะนี และเสียงผลไม้ร่วงหล่น แต่ไม่มีเสียงที่ผมต้องการได้ยิน หลุดเข้ามาเลย… เสียงลิงกัง!
แมลงหวี่กำลังรื่นรมย์กับผลไทรสุก(Ficus spp) และผลตูมกาดง (Strychnos minor) แตกฮือขึ้นจากความหอมหวานแล้วร่อนลงไปอีกครั้ง เมื่อฝ่าเท้าผมก้าวผ่านพ้น
เหล่าทากดูดเลือดน้อยใหญ่ เฝ้ารอผู้ใช้เส้นทาง เพื่อขอแบ่งปันความอบอุ่นและอาหารเหลวสีแดงเข้ม …ชูเชิด สอดส่าย รับรู้ คืบคลาน… หวังว่าวันนี้ถุงกันทากของผมคงไม่มีรูร่วงสักรู
แมงมุมเอวคอดก้นอวบสีส้มคาดน้ำเงิน กำลังบรรจงถักทอความโปร่งใสไว้ดักความอิ่มเอม
ผลกระท้อนสีเหลืองสดและดอกเห็ดสีส้มแสบตา ทำตัวกลมแน่นิ่ง คล้ายยังไม่ตื่นนอน
มันเป็นอย่างนี้มาหลายวัน หลายอาทิตย์ หลายเดือนแล้ว ที่ออกมาเดินสำรวจหาลิงกังแต่เช้า แล้วได้เจอเพียงความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า ทั้งไม้พุ่มเตี้ยเท่าแข้ง ไม้ต้นสูงท่วมตึก และสิงสาราสัตว์ต่างๆ เช่น หมูป่า หมูหริ่ง กระทิง ช้าง กระจง ชะมด และอีกเยอะ ผมเคยถามเพื่อนรวมงานว่า ระหว่างหาลิงกังกับหากระซู่ อย่างไหนหายากกว่ากัน เพื่อนยิ้มให้ผมแทนคำตอบ
บางวันก็มีให้ตื่นเต้นบ้างกับเสียงกระโดดบนเรือนยอดสูง ดูเป็นกลุ่มเป็นฝูง คงไม่ใช่กระรอก หรือว่านกแก๊ก แต่สักพักเสียงที่เล็ดลอดออกมาก็ทำให้ผิดหวัง
“อุ๊ก อุ๊ก ๆ” ครอบครัวชะนีมือขาว(White handed gibbon) กำลังกินผลไม้กันอยู่ และพอผมเห็นตัวเท่านั้นแหละ เค้าก็เริ่มส่งสำเนียงอันเป็นเอกลักษณ์กันทันที ทั้งที่ก่อนหน้านั้นอยู่กันอย่างเงียบเชียบ ….หรือไม่ก็
กับฝูงค่างแว่นถิ่นเหนือ(Phayre’s leaf monkey) ที่ทำตัวให้ได้ลุ้นมากขึ้น เพราะเวลาตกใจจะรีบกระโจนหนี ไม่ส่งเสียงอะไร- เหมือนกับลิงกัง แต่พอตามๆไปแล้วยกกล้องส่องดู เต็มเต็มเลย …หางยาวๆ…แกว่งไปแกว่งมา ขณะโผจากกิ่งหนึ่งไปกิ่งหนึ่ง, เหนื่อยฟรี
ส่วนที่ใกล้ชิดสนิทกันอย่าง ลิงอ้ายเงี้ยะนั้น ไม่ค่อยยากเท่าไหร่ในการแยกแยะ เพราะชอบคุยกันเสียงดัง และอีกอย่างเวลาตกใจ จะร้องเตือนกันซึ่งต่างจากลิงกังชัดเจน
บ่อยครั้งที่เจอทุกอย่างทั้งชะนี ค่าง ลิงอ้ายเงี้ยะ มีอย่างเดียวที่ไม่เจอ, คงไม่ต้องบอกอะไร
มีช่วงหนึ่งที่เราตามหาเจอและตามติดอยู่ได้หลายวัน ก็ให้ปลื้มอกปลื้มใจว่าคงไม่ยากที่จะทำให้คุ้นเคย หากเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แต่ปรากฏว่าทำได้เกือบอาทิตย์ก็หลุดหายไป แล้วก็หายไปเป็นเดือนสองเดือน แล้วก็เห็นอีก สองสามวัน วันละนิดวันละหน่อย แล้วก็หายไปอีกเป็นเดือน
แต่ละวันที่ออกมาสำรวจหาลิงกัง เมื่อเปิดแผนที่หารือว่าใครจะไปหาทางไหน ก็เป็นต้องปวดหัวในการเลือกเส้นทาง เพราะดูเหมือนว่าทั่วทั้งแผนที่นั้น ไปเหยียบย่างมาหมดแล้ว แถมไม่ใช่แค่รอบสองรอบในหนึ่งอาทิตย์ -จะมีที่ไม่ได้ไปบ้างก็ทางทิศเหนือและตะวันออกไกลๆ เท่านั้น
หากงานติดตามลิงกังสำเร็จ จะเป็นกลุ่มวิจัยแรกที่สามารถตามลิงกังในถิ่นที่อยู่ที่เป็นธรรมชาติได้ ไม่ใช่ตามวัดหรือตามอุทยานที่ใช้อาหารเลี้ยงล่อลิง เดือนแรกๆที่ตามหาลิงก็ไม่คิดว่าจะยากเย็นแสนเข็ญ แต่พอนานๆเข้า ก็เริ่มมีท้อมีเบื่อกันบ้างเพราะมันนานมากแล้วที่ไม่มีวี่แววของพวกเจ้ากังเลย
ขณะหยุดอยู่ตรงทางแยก และหยิบกระบอกน้ำมาดับกระหายระหว่างนั่งพัก ตัดสินใจว่าจะเดินไปทางไหนต่อ อืม แถวนี้เสียงจักจั่นฟังดูเบาบางไปเยอะ
พลัน กระรอกตัวหนึ่งก็ตกใจตื่นอะไรบางอย่าง ร้องเตือนใครต่อใคร แล้วเจ้านกกะลาหัวหงอกก็รับลูก ส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายเป็นการใหญ่
เพื่อนเอ่ย เจ้าเห็นเจ้ากังบ้างไหม?
ไม่มีเสียงตอบจากใครคนนั้นที่ผมสุ่มถามไป(ถ้ามีผมคง…) ผมก้มลงมองแผนที่ในสมุด
คร้าม !...คร้าม!...
บางสิ่งบางอย่างกระโดดอยู่บนยอดไทร ไม่ไกลไม่ใกล้จากที่ผมนั่งอยู่ ผมค่อยๆย่องเข้าไปอยู่หลังต้นไม้อีกต้น มันไม่ได้มีตัวเดียวด้วย ผมหายใจไม่ทั่วท้องด้วยความตื่นเต้น
เจ้านั้นยังคงขยับตัวไปมาอยู่ในพุ่มใบหนาแต่ยังเห็นไม่ชัด ผมหาเหลี่ยมส่องกล้องให้ถนัด
ชัดแล้ว! ใช่เลย… ลิงที่ไหนจะมีปีก? นกแก็กกลุ่มหนึ่งกำลังอร่ยกับผลไทรสุก
และเหมือนทุกครั้ง ที่พอรู้ว่าเป็นตัวอะไรแล้ว เค้าก็จะส่งเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ออกมา
“กะแว็ก  กะแว็ก” แล้วก็กางปีกบิน วืด วืด จากไป เหมือนเคยเคย
ผมตัดสินใจมุ่งหน้ากลับไปทางทิศตะวันออกแทนที่จะไปทางทิศเหนือ
คร้าม! คร้าม! …อีกครั้งกับเสียงกระโดดลงบนพุ่มไม้
แต่คราวนี้เหมือนจะอยู่ในระดับต่ำๆ ผมปีนข้ามต้นไม้ที่ล้มขวางทางไปอย่างระมัดระวัง และโชกดีที่ทางเดิมเปียกชุ่ม ทำให้เงียบเสียงเวลาเยื้องย่าง ผมขยับเข้าไปใกล้ที่มาของเสียง แล้วหาที่กำบังกายซุ่มดูให้เห็นถนัดถนี่
โอ้ ลิงครับ ลิง! แต่ยังมองไม่เห็นว่า ใส่หมวกแก็บสีดำ หางสั้น- ลิงกัง หรือผมแซกกลางหางยาว- อ้ายเงี้ยะ กันแน่ เพราะเจ้าของเรือนร่างนั้นนั่งหันหลังและมีกิ่งบังเหลี่ยมที่หางอยู่
ผมกระดืบเข้าไปอีก และถึงแม้ว่าจะระวังแค่ไหนกับการเหยียบกิ่งไม้แห้ง,แต่แล้ว
แก๊ก… พลาดจนได้เรา!
ลิงตัวนั้นไม่ตกใจหนีอย่างที่คิด แต่กลับหันหน้ามา ตาประสานตา เห็นหน้ากันจังๆ
เฮ้ย เจ้าอ้วนดำ คอฟฟี่ Coffee นี่หนา !
ถึงว่าผมเข้ามาใกล้ขนาดนี้มันยังไม่หนีไปไหน และก็อีหรอบเดิม เจ้าหนุ่ม Num กับ เจ้ายาว Yaow ลูกสมุนทั้งสองก็โผล่เข้ามา พร้อมกับเสียงร้องคุยกันและเสียงกระโจน,เคลื่อนตัวในระดับต่ำๆ  ผมเดินเข้าไปหาพวกมันทั้งสามใกล้ๆ
ผมไม่เห็นเจ้าคอฟฟี่และคณะ(คอฟฟี่ หนุ่ม ยาว) นานมากแล้ว
คอฟฟี่เป็นลิงตัวผู้ที่ย้ายจากฝูงอื่นมาอยู่กับฝูงสตั้มปี้ (ตั้งแต่ผมมาทำงานก็มีเพียงตัวเดียวนี่แหละ) ก่อนช่วงผสมพันธุ์ปี’07 ด้วยลักษณะภายนอกที่มันพกพามาด้วย; ขนเข้มสีกาแฟไม่ใส่นม, ร่างกายกำยำ หนาปึก กล้ามเนื้อโตเต็มที่ ทำให้ผมคิดว่า มันน่าจะเข้ามามีบทบาทในฝูงอย่างมาก แต่กลับเป็นว่า มันใช้ชีวิตอยู่เฉพาะวงนอกของฝูงเท่านั้น ไม่ได้ใช้ความได้เปรียบทางร่างกายให้เป็นประโยชน์สักเท่าไหร่
เจ้าคอฟฟี่เริ่มมีเพื่อนเพิ่มขึ้น จนวันหนึ่ง กลุ่มของมันที่ประกอบด้วยลิงหนุ่มต่างวัยรวมกัน 8 ตัว ก็แยกตัวออกไปหากินโดยลำพัง หายไปเป็นอาทิตย์แล้วค่อยกลับมา เราให้ฉายากลุ่มนั้นว่าพวกบอยแบนด์ ซึ่งประกอบด้วย คอฟฟี่ Coffee วอลเลส Wallace ช้าง Chang บรูโนBruno คัท Cut หนุ่ม Num ยาว Yaow และตง Tonk
เจ้าคอฟฟี่พาทีมงานแยกออกไปหากินบ่อยๆ และบางคราวก็พ่วงเอาตัวเมียไปด้วย ซึ่งสร้างความมึนงงให้แก่ทีมวิจัยมาก เพราะตามปรกติหรือที่เคยรับรู้มา ลิงตัวเมียจะอยู่กับฝูงตลอดไม่ย้ายไปไหน นี่อาจจะเป็นการแยกออกไปหากินธรรมดาหรืออาจเป็นฐานความรู้ใหม่สำหรับลิงอ้ายเงี้ยะ
หนึ่งในลิงห้าชนิดที่มีอยู่ในประเทศไทย
จากหลายเดือนเป็นหลายฤดูกาล พวกบอยแบนด์ที่อยู่ร่วมกัน ก็แยกแตกวงกัน ตัวอื่นๆกลับมาอยู่กับฝูงใหญ่อย่างจริงๆจังๆ ยกเว้นเพียงเจ้าคอฟฟี่และสมุนทั้งสองตัวที่ยังไปๆมาๆ
              แล้ววันดีคืนดีขณะที่ผมตามลิงอ้ายเงี้ยะกลุ่มใหม่-ฝูงใหญ่ไม่แพ้ฝูงสตั้มปี้ ซึ่งกำลังโครมครามหากินอยู่ ผมเข้าไปใกล้จนกระหยิ่มยิ้มในใจกับความสมารถของตนที่ย่องได้เงียบและพรางกายได้ดีจนลิงไม่รู้ตัว แต่สุดท้ายก็แพ้ความตาไวของลิง
         แต่ละตัวต่างแตกตื่นกระโจนหนีกันให้วุ่นวายพร้อมกับส่งเสียงเตือนภัย ก่อนเงียบหายไป เหลืออยู่เพียงตัวเดียวที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว, ตัวผู้ใหญ่เสียด้วย, นั่งกินใบไม้อย่างสบายอารมณ์
แล้วมันก็หันหน้ามา
             โดยไม่ต้องใช้กล้องส่องดู เป็นเจ้าคอฟฟี่ ชัวร์ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์
              ให้ตายสิ มันย้ายมาอยู่กับฝูงนี้แล้วเหรอตอนนี้ มันจ้องหน้าผมพร้อมกับทำท่าขู่สามครั้งเหมือนไม่เคยรู้จักกัน…ช่างทำได้แนบเนียนจังนะ เจ้าอ้วนดำ
              แล้วมันก็ไต่เถาวัลย์แบกพุงใหญ่ๆขาวๆของมันตามเพื่อนฝูงใหม่ไป
         ตอนที่อยู่กับฝูงสตั้มปี้นั้น เวลากินผลไม้อะไร เจ้าคอฟฟี่จะรีบเด็ดรีบยัดเข้าปาก พร้อมกับสอดส่ายสายตาระแวดระวังไปด้วย ท่าทางลุกลี้ลุกลนเป็นที่สุด ผมไม่เข้าใจว่าทำไมมันต้องทำตัวอย่างนั้นด้วย เพราะเมื่อเทียบขนาดของร่างกายแล้ว มันก็ตัวใหญ่และท่าทางแข็งแรงอยู่ในลำดับต้นๆของฝูง หรืออาจจะเป็นเพราะว่าด้วยความที่มันมาจากฝูงอื่นตัวเดียว ไม่มีมิตรสหายที่จะคอยช่วยเหลือ มันจึงไม่กล้าที่จะก่อเรื่องก่อราว อยู่เงียบๆรอดูสถานการณ์ไปก่อนคงจะดีกว่า กระมัง?
          ปี’ 09 ก่อน-กลาง-หลัง ช่วงฤดูผสมพันธุ์ เจ้าคอฟฟี่ไม่ได้กลับมาหาฝูงสตั้มปี้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ผมก็เห็นมันกับเจ้าหนุ่มเจ้ายาวป้วนเปี้ยนหากินอยู่ไม่ไกล-พื้นที่ศึกษามีประมาณ สามตารางกิโลเมตร หรือตกลงมันจะย้ายสำมะโนครัวไปอยู่กับฝูงอื่นอย่างถาวรแล้ว (ผมว่าการเปลี่ยนจ่าฝูงก็น่าจะมีส่วนในการย้ายอกไปของมันไม่มากก็น้อย)
         ถึงแม้นว่ามันจะทำให้สมาชิกในฝูงลดลงไปอีก แต่มันอาจจะเป็นข้อดีก็ได้ ที่เจ้าคอฟฟี่ไปอยู่กับฝูงอื่น เพราะเวลาทีมวิจัยไปติดตามหาลิงกลุ่มใหม่ เจ้าคอฟฟี่จะได้เป็นมุดหมายในการจดจำและอีกอย่าง ด้วยความคุ้นเคยกับเรา มันอาจจะบอกเพื่อนใหม่ว่า…ไม่ต้องกลัวพวกที่อยู่บนพื้นนั้นหรอก เค้ามาดีไม่มีอันตราย แล้วก็พากันนั่งกินผลไม้กันต่อ, ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงดีไม่น้อย
         หลังจากเจ้าคอฟฟี่ที่ย้ายมาจากฝูงอื่น ก็มีเจ้าอีกอร์ Igor ลิงหนุ่มสีขนและรูปร่างไล่เลี่ยกัน ที่เหมือนอยากจะเข้ามาร่วมฝูง แต่ก็โผล่มา สองวันหนึ่งคืน ก็หายตัวไป แล้วก็ยังไม่มีใครอีกเลย
         ผืนป่ากว้างใหญ่มีที่หลับที่นอนที่อยู่ที่กินให้เลือกมากมาย แถมเพื่อนฝูงก็มีหลากหลายให้คบหา หากพอใจจะร่วมอยู่ด้วย แม้นอาณาเขตเพียงเล็กน้อยเท่าลิงดิ้นตายก็คงไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าหากหมดความสำราญใจหรือถูกข่มเหงรังแกมากๆ อาณาจักรยื่นยาวสุดลูกหูลูกตา ก็คงไม่ใคร่อยากร่วมทนเปียกทนหนาวด้วยแน่นอน
         ผมคิดว่าการโยกย้ายสลับสับเปลี่ยนในสิ่งมีชีวิต ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเพื่อสร้างความสมดุลในการดำเนินชีวิต ซึ่งบางทีอาจจะเป็นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว เพื่อดูความเป็นไปเสียก่อน
         และต่อเมื่อแน่ใจในผลที่ตามมาแล้วว่า ใช่ !ในสิ่งที่ต้องการ หากจะก้าวเดินออกไปจากจุดเดิมอย่างถาวรก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย
         เจ้าคอฟฟี่เลือกที่จะเข้ามาอยู่กับฝูงสตั้มปี้แล้วก็เลือกที่จะจากไป
         เมื่อได้รู้จักย่อมมีวันที่ต้องพลัดพราก เรื่องธรรมดา







8.จ่าฝูง

 


เมื่อดอกสะแลงหอมไก๋(Rothmannia sootepensis) เบ่งบานส่งผ่านความหอมหวลให้ฟุ้งกระจายไปทั่วพื้นป่า ก็เป็นเวลาเดียวกันที่ตุ่มตาดอกของเครือสะบ้าลิง (Mucuna macrocarpa) เริ่มผุดโผล่ออกมาจากต้นเถายึกยือ กลิ่นดอกสะแลงหอมไก๋ หอมหวานละมุนละไม แม้นอยู่ไกลจากต้น สมชื่อเรียกขาน หอมไก๋ หอมไกล ผิดกับกลิ่นดอกสะบ้าลิง ฉุนคาวลึก ยามเดินผ่านแทบต้องกลั้นหายใจ
แต่หากจะพูดถึงรูปลักษณ์ของดอกแล้วละก็ กลีบดอกสีม่วงเข้มที่ห่อคลุมด้วยกลีบเลี้ยงสีเขียวนวลของสะบ้าลิง ดูมีชีวิตชีวาและเป็นที่จดจำมากกว่า ดอกก้านยาวที่รองรับกลีบดอกสีขาวสะอาดตาสี่กลีบของดอกสะแลงหอมไก๋เป็นไหนไหน และยิ่งอยู่กันเป็นช่อเป็นกลุ่มคล้ายพวงองุ่นแล้วด้วย ก็ยิ่งทำให้อดใจไม่ไหวที่จะเข้าไปชื่นชมใกล้ๆ โดยเลิกใส่ใจกับกลิ่นชวนคลื่นเหียนวิงเวียนที่มี
ไม่ไกลกันนักบนเรือนยอดต้นก่อเดือย(Castanopsis acuminatissima) ช่อดอกสีเหลืองอร่ามก็เบ่งบานเป็นพุ่มชะอุ่มตาเช่นกัน ผมจำได้ว่าต้นก่อเดือยบางต้นเพิ่งจะออกดอกออกผลไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้ –สามสี่เดือนเห็นจะได้ แต่ก็นี้แหละครับความสลับซับซ้อนและความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตในพื้นป่า –เปลี่ยนแปลงเวียนวน
และถ้าสังเกตให้ดีดีตามต้นมะไฟ (Baccuarea ramiflora) ช่อดอกเป็นแท่งๆก็เริ่มปรากฏกายให้เป็นกันบ้างแล้ว ส่วนที่ไม่ต้องเพ่งพิจารณาอะไรมากมาย ก็ต้องต้นตาตุ่มบก (Sapium insigne) ที่ปลิดใบทิ้งทั้งต้น เหลือไว้เพียงกิ่งก้านสีน้ำตาลเข้ม ทำให้มองเป็นช่อดอกที่ตั้งตัวตรงอยู่เต็มเรือนยอดได้อย่างง่ายดาย
แต่ต้นไม้ที่ดูเตะตาต้องใจมากที่สุดในยามนี้ ผมขอยกให้ ต้นกะเหรี่ยง (Ficus callilipes) ต้นไทรชนิดหนึ่ง ที่ใบบนต้นเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลืองสด ดูโดดเด่นออกมาจากต้นไม้อื่นๆ และเมื่อไล่เรียงสายตาลงมาอีก ก็จะพบกับความขาวผ่องนวลเนียนของลำต้น ที่สอดรับกับสีเหลืองสดใสของพุ่มใบ ยิ่งมาเจอแสงแดดยามสายที่เจิดจ้าเข้าให้ด้วย ยิ่งงดงาม เปล่งปลั่ง เฉิดฉายกว่าเพื่อนบ้านใกล้เคียง อย่างไม่ต้องมีกรรมการมาตัดสินชี้ขาดเลย
โมงยามค่อยๆเคลื่อนคล้อย… คืนวันค่อยๆผันผ่าน… ฤดูกาลค่อยๆเปลี่ยนแปลง…
และชีวิตก็ดำเนินไปอย่างเป็นระบบ ระบบที่บางครั้งก็ยังหาเหตุผลมาอธิบายให้เข้าใจไม่ได้ แต่มันมีอยู่จริง
เผลอแป็บเดียวเดือนแรกของปีใหม่ก็หมดไปแล้ว แต่ยังเหมือนว่าบรรยากาศของการเฉลิมฉลองยังคงแขวนลอย กรุ๊งกริ๊งๆๆ อยู่ในความรู้สึกอยู่เลย
ในปีที่แล้ว หลายสิ่งหลายอย่างที่วางแผนไว้ถูกเสริมส่งด้วยการกระทำให้สำเร็จลุล่วงบ้าง และล้มเหลวไม่ได้เรื่องได้ราวบ้าง แต่ก็ยังดีใจที่ได้เปลี่ยน สภาพของมันให้แตกต่างไปจากอีกหลายความคิดที่นอนแน่นิ่งอยู่เฉยๆใต้เส้นผม
ตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคมปีที่แล้วจนถึงปลายเดือนมกราคมปีใหม่นี้ มีสิ่งต่างๆมากมายเปลี่ยนแปลงไป ทั้งดีขึ้นทั้งแย่ลง แต่มีสิ่งหนึ่งในหลายๆสิ่งที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง
หนึ่งในนั้นก็คือ ตำแหน่งจ่าฝูง ของฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษนั้นไงครับ
ทีมผีแดง ยังคงรักษาตำแหน่งหัวตารางไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ถึงแม้นเมื่อวานก่อนจะเพิ่งแพ้เป็นนัดแรกของฤดูกาล ต่อทีมรองบ่อนอย่างวูล์ฟแฮมตัน จบสถิติไร้พ่ายไว้ที่ 24 นัด
แต่ช่องว่างระหว่างจ่าฝูงกับรองจ่าฝูง ก็ยังไม่แคบลง
เมื่อทีมรักของผม ไอ้ปืนใหญ่ ดันไปเสมอกับนิวคาสเซิ่ลแบบเหลือเชื่อ 4-4 ทั้งที่ออกนำไปก่อน 4-0 บอกใครก็คงไม่มีใครเชื่อว่าคู่นี้จะจบด้วยการแบ่งกันทีมละแต้มเมื่อจบ 90 นาที จนมีข่าวว่า หนังสือพิมพ์กีฬาฝรั่งเศสฉบับหนึ่ง ออกข่าวว่า มีการล้มบอลเกิดขึ้นจากนักเตะฝรั่งเศสคนหนึ่งในทีมอาร์เซน่อล เพื่อที่จะให้ผลออกมาเสมอกัน หลังจากไปเล่นพนันไว้ และจากข่าวดังกล่าว ทำให้ทางสโมสรไอ้ปืนโต ไม่พอใจอย่างรุนแรงจนเตรียมยื่นเรื่องฟ้องแล้ว
ทีมผีแดงแซงเชลซีมาอยู่ตำแหน่างจ่าฝูง หลังจากสิงห์บลูฟอร์มแผ่วไปหลายนัด จากนั้นก็ผ่านด่านมรณะกับช่วงบ็อกซิ่งเดย์ แล้วก็ครองตำแหน่งมาเรื่อยๆ เก็บแต้มแบบโกงความตายมาหลายต่อหลายนัด ผมหมายถึงเล่นไม่ดีแต่มีสามแต้ม แม้นเด็กผีชุดนี้จะไม่มีตัวจี๊ดอย่างสุดหล่อโรนัลโด้ แต่ด้วยความเป็นระบบของผู้เล่นหน้าเก่าและผู้เล่นใหม่ที่เข้ามาเสริมอย่างลงตัว จึงทำให้สามารถขึ้นมายืนหัวตารางได้
ทีมที่จะเป็นจ่าฝูงได้นั้นจะต้องเก่งและเฮง หมายถึงมีความสามารถและมีโชคด้วย-เมื่อต้องการ
โกล์ต้องเหนียว หลังต้องแน่น กลางต้องแกร่ง หน้าต้องคม และที่ขาดไม่ได้ คือการวางแผนของผู้จัดการทีม และทีมที่จะเป็นอย่างนั้นได้ ก็ต้องมีเงินถุงเงินถังพอให้ใช้จ่ายได้ สังเกตได้จากทีมที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ จะมีการซื้อขายนักเตะชื่อดังเข้าออกเสมอ และเมื่อดูตารางคะแนนในแต่ละลีกแต่ละประเทศ ก็จะเห็นว่าเป็นทีมที่มาจากเมืองหลวงแทบทั้งสิ้น หรือไม่ก็เป็นทีมจากเมืองใหญ่ๆ
ฉะนั้นทีมที่จะเป็นจ่าฝูงได้ต้องครบเครื่องจริงๆเท่านั้น…
เรื่องที่ทีมปืนใหญ่ทำแต้มหล่นหายโดยการไปเสมอกับนิวคาสเซิล แม้นจะออกนำไปตั้ง 4 ลูก เวียนวนอยู่ในหัวสมองผมตั้งแต่เช้าแล้ว
“ช่องว่างมันน่าจะแคบลงกว่านี้ ถ้าเก็บสามแต้มได้จากเซนต์ เจมส์ ปาร์ค, ไม่น่าเลย”
แล้วฝูงลิงก็เดินมาถึงร่องน้ำTW
กลุ่มกลีบสีแดงของดอกทองหลางป่าบานสะพรั่งเต็มเรือนยอด แต่งแต้มให้กิ่งก้านไร้ใบ ดูเฉิดฉาย เมื่อมีแผ่นฟ้าสีครามสดใสรองรับอยู่เบื้องหลัง หากแต่หนทางที่จะได้สัมผัส จับต้อง ลิ้มลอง ดอมดม ถึง ช่อดอกนั้น ช่างดูเจ็บปวดยากเย็นเสียเหลือเกิน เมื่อตามกิ่งก้านพร่างพรมไปด้วยปุ่มหนามแหลมตลอดทาง ลิงแต่ละตัวต้องค่อยๆขยับมือขยับเท้า-ขยิบปากขยิบตาบ่นเบาๆในความทรมาน
แต่แล้วสุดท้ายของความอดทนและความพยายาม ก็คือสุดยอดแห่งความหอมหวานนุ่มนิ่มของดอกทองหลางป่า
โดยเฉพาะท่าทางของเจ้าร็อคกี้ (Rocky) จ่าฝูงของเราที่ค่อยๆกระย่องกระแย่งไปตามกิ่งขรุขระที่เต็มไปด้วยหนามคม เพื่อจะเอื้อมคว้าความเอร็ดอร่อยสีแดงสด ที่ส่วนใหญ่จะไปอยู่ตรงปลายกิ่ง ซึ่งก็เล่นเอาจ่าฝูงต้องสะดุ้งโหยงหลายทีกว่าจะได้อร่อยกับดอกทองหลางสักดอก
ดูแล้วสถานการณ์อย่างนี้ลิงตัวเล็กจะได้เปรียบมากกว่า เพราะน้ำหนักที่เบาทำให้แรงกดทับมีไม่มาก เดินได้สะดวกไม่เจ็บมากและขยับตัวไปได้ไกลกว่าด้วย แต่อย่างไรเสีย เสียงขู่จากตัวใหญ่ก็ทำให้เจ้าตัวเล็กถอยออกจากช่อดอกที่หมายตาไว้ได้,เหมือนเดิม
ผมหวาดเสียวกับท่าทางของเจ้าร็อคกี้ จ่าฝูงขาเป๋ของเราเสียเหลือเกิน เพราะต้นทองหลางป่าก็ใช่ว่าจะต่ำ พลาดตกลงมา ถ้าไม่ขาเป๋อีกข้างก็คงนับว่าโชคดี
ผมแปลกใจและสงสัยเหลือเกินว่า เจ้าร็อคกี้ก้าวขึ้นมาเป็นจ่าฝูงได้อย่างไร? เพราะด้วยสภาพอย่างที่เห็นในทุกวันนี้ ทั้ง ขาเป๋ ตาเหล่ หางหัก และตัวไม่ได้ใหญ่มาก- เล็กกว่าเจ้าอาคิเลส มันไม่น่าจะทำได้
มันต้องมีอะไรดีแน่ๆ ถึงทำให้เจ้ากล้ามโต อาคิเลส (Achilles) ยอมแยกเขี้ยวเกรงกลัว ให้มันเป็นจ่าฝูง
ในยุคก่อน, ที่กลุ่มอาวุโสเรืองอำนาจ เจ้าร็อคกี้ยังเป็นลิงหนุ่มธรรมดาทั่วไป แถมยังสนิทกับเจ้านายมากด้วยซ้ำ เมื่อมองดูขนาดร่างกายแล้วยังเป็นพวกขนาดกลางของฝูง
แต่พอเกิดการล้มโต๊ะ คว่ำจ่าฝูงเจ้าแว่นตา โดยเจ้ากล้ามโตอาคิเลส เจ้าร็อคกี้ กับเจ้าศอกก็ก้าวขึ้นมาในตำแหน่งรองลงมาเป็นเบอร์สองและเบอร์สาม พวกเราคิดว่ามันคงจะเป็นการรุมกินโต๊ะเจ้าแว่นตาด้วยลิงหนุ่ม 2-3 ตัว เพราะจากสภาพที่เห็น เจ้าแว่นตาแผลเต็มตัว แต่เจ้าอาคิเลสมีเพียงแผลที่ปากและนิ้วเท่านั้น
หลังจากขึ้นป็นจ่าฝูงตัวใหม่ ฤดูกาลผสมพันธุ์ปีนั้น เจ้าอาคิเลสกล้ามโตก็ประกาศศักดาไปทั่วทั้งตัวผู้ตัวเมียต้องยอมให้มัน ในการแสดงความยิ่งใหญ่ และในแต่ละครั้งที่เกิดการขัดขืนหรือวิวาท ก็จะมีเจ้าร็อคกี้เข้ามาแท็คทีมกับมันเสมอ
แต่ทำไปทำมา เจ้ากล้ามโตก็เป็นจ่าฝูงได้เพียงฤดูผสมพันธุ์เดียวเท่านั้น เพราะในปีต่อมา จ่าฝูงได้เปลี่ยนมือมาอยู่กับเจ้าร็อคกี้  การผลัดเปลี่ยนเกิดขึ้นอย่างสงบราบเรียบ ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บใดใด ยกเว้นเจ้าร็อคกี้ตาเหล่ที่มีอาการขาปัดขาเป๋ เดินโขยกเขยก ซึ่งไม่แน่ใจว่า เกิดจากอะไร ตกต้นไม้เองหรือต่อสู้ห่ำหั่นกัน
แต่อย่างไรเสียตั้งแต่นั้น ฝูงลิงสตัมปี้ก็มีจ่าฝูงเป็นเจ้าร็อคกี้ ลิงตาเหล่ ขาเป๋ หางหัก เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
แมงมุมขายาวก้นหนาม อลหม่านหนีตายกันลงมาจากโพรงต้นไทร เมื่อลิงตัวหนึ่งกำลังล้วงจับพวกมันกิน แต่ละตัวต่างเร่งรีบกระโดดลงสู่พื้นพร้อมกับแตกกระจายไปทุกทิศทุกทาง โดยไม่รู้ตัวว่าเป็นการหนีเสือปะจระเข้ เพราะด้านล่างนั้น ลิงอีก 2ตัว ยืนสี่ขาจังก้า คอยคว้าพวกมันใส่ปากอย่างใจจดใจจ่ออยู่เช่นกัน
แล้วพวกเจ้าตัวเล็กก็ผงะออกจากต้นไทร พร้อมกับปากที่เต็มไปด้วยขาแมงมุมที่โผล่ออกมา เมื่อลูกพี่ใหญ่เดินกระเผลกเข้ามาร่วมวง- ลงมาจากต้นทองหลางป่าตั้งแต่เมื่อไหร่ละเนี่ยลูกพี่! เร็วจริงๆ(คงจะลงมาแบบธรรมดานะ)
เหมือนกับว่าขาของเจ้าร็อคกี้จะมีอาการหนักเมื่อหน้าหนาวมาเยือน เพราะตลอดหน้าร้อนและหน้าฝนที่ผ่านมานั้น ก็ดูว่ามันยังใช้การได้ดี แต่พอเริ่มหนาว มันก็กลายเป็นลิงขาเป๋ไป
คงจะพอรู้มาบ้างแล้วนะครับว่า ลิงวอกภูเขาไม่ได้กินแต่ ผลไม้ ใบไม้เท่านั้น เนื้อสัตว์เล็กๆที่สามารถจับได้ มันก็กิน กินเนื้อน่ะพอเข้าใจได้ แต่ไอ้ที่ กินขนนี้สิ มันชักจะยังไง
เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ, วันนั้น ลิงตัวเมียตัวหนึ่งผมจำไม่ได้แล้วว่าเป็นสาวใด จับกระรอกได้ และกำลังจะจัดการกับอาหารอันโอชะ ก็ปรากฏว่า –ยังครับยัง เจ้าร็อคกี้ยังไม่ได้เห็นครับตอนนี้ แต่เป็นเจ้าแม่ แพตเชส – ผู้เป็นใหญ่ในลิงตัวเมีย (alpha-female) เข้าไปแย่งกระรอกมาจากตัวเมียตัวนั้น ก่อนจะกัดหัว ปลดปล่อยวิญญาณให้หลุดลอย
แต่ในขณะที่แพตเชสกำลังใช้ฟันพยายามฉีกเนื้ออยู่นั้น เจ้าร็อคกี้ก็เข้ามาแย่งไปจากมันอีกที มีความไม่พอใจนิดหน่อยเกิดขึ้นแต่มีความเกรงกลัวมากกว่า แล้วร่างกระรอกก็ไปอยู่ในอุ้งมือจ่าฝูง อย่างง่ายดาย
เจ้าร็อคกี้พยายามกัดให้เนื้อฉีกขาดแต่ก็ทำได้ไม่มากนัก หนังกระรอกคงเหนียวมากเพราะเสียงปึ้ดๆ ดังเป็นระยะจากการกัดกินของเจ้าร็อคกี้ โดยมีเจ้าอาคิเลสและแพตเชสนั่งเฝ้าดูอยู่ใกล้ๆ
แทนที่มันจะได้กินเนื้อของกระรอก แต่ที่เห็นส่วนใหญ่ มันเป็นขน!เสียมากกว่าที่หลุดหายเข้าปากไป มีเพียงเศษเนื้อเล็กน้อยเท่านั้นที่ติดออกมา
หลังจากพยายามอยู่นานพอสมควร จ่าฝูงของเราก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะกินเนื้อกระรอก วางร่างไร้ลมหายใจที่ชุ่มไปด้วยเลือดไว้บนกิ่งไม้ข้างตัว
และเป็นแพตเชสที่ค่อยๆขยับเข้าไปใกล้ ใกล้เข้า ใกล้เข้า ใกล้จนเอื้อมมือไปแตะเจ้ากระรอกได้ เจ้าร็อคกี้มองขู่แพตเชสเล็กน้อย จนเธอต้องแยกเขี้ยวให้ แต่ก็ไม่ได้ขยับหนีไปไหน และมือข้างหนึ่งนั้นก็จับร่างกระรอกไม่ปล่อย ดูเหมือนเจ้าร็อคกี้จะหมดความพิศมัยในอาหารจานนี้แล้ว มันจึงไม่ใส่ใจกับการกระทำของแพตเชสนัก และเมื่อเห็นดังนั้น แพตเชสก็รีบคว้ากระรอกและไปหาที่นั่งห่างออกไป แล้วเริ่มลงมือกัดเนื้อกระรอกทันที
ต้องขอบคุณท่านจ่าฝูงที่ช่วยเลาะเล็มขนออกให้แล้ว เพราะไม่นาน เนื้อแดงๆชิ้นใหญ่ๆก็ขาดออกมาจากร่างกระรอก  มันยังไม่กัดกลืนทันทีแต่เก็บไว้ในถุงแก้มก่อน แล้วเริ่มฉีกชิ้นต่อไปอย่างชำนาญ อีกหลายคำโตๆ
น่าจะเป็นความคมของเขี้ยวตัดหรือวิธีการกัดฉีกที่ทำให้ใคร บางตัวได้กินขน
แต่อีกตัวได้กินเนื้อสดๆอร่อยๆ
….โอ้ยๆ พี่เป๋….รู้เรื่องอะไรกับเค้าบ้างไหมเนี่ย……
อย่างไรก็ตาม เจ้าร็อคกี้ก็พาฝูงเพื่อนข้ามผ่านฤดูหนาวอันเป็นฤดูผสมพันธุ์มาได้ด้วยความเรียบร้อย ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งรุนแรงเกิดขึ้น
มันคงยังไม่ใช่อย่างที่เคยได้ยินมา ว่า ท้องทะเลที่ราบเรียบเกินไปมักจะมีความน่าสะพรึงกลัวตามมา
เพราะอย่างน้อยจากการสังเกตก็เห็นว่าลิงหนุ่มตัวอื่นๆก้ให้ความเป็นมิตรกับเจ้าร็อคกี้อยู่มาก และอีกอย่างเจ้ากล้ามโตคู่หูของมันก็คอยเป็นหูเป็นตา ช่วยเหลือเป็นอย่างดี
รวมทั้งการเอาตาพังค์(Punk) ลิงอาวุโสเป็นพวกเดียวกัน และคอยช่วยเหลือแกในยามแกมีญหากับพวกหนุ่ม โดยฉพาะกับเจ้าโบโนโบ(Bonobo)และเจ้าลิม(Limp) ที่พยายามขยับลำดับชั้นเข้ามาใกล้ๆ แต่ยังทำไม่ได้สะดวกนัก เพราะมีตาพังค์กั้นอยู่
ถึงแม้นรูปลักษณ์ภายนอกจะดูไม่สง่าผ่าเผยมากนัก สำหรับการเป็นจ่าฝูง แถมเสียงร้องเรียกก็แตกพราก ฟังดูไม่น่าเกรงขาม (แต่จดจำได้ง่าย) แต่ด้วยปัจจัยภายในหลายอย่างที่ดี (ผมเองก็ไม่รู้ว่าคืออะไร?) จึงทำให้เจ้าร็อคกี้ยังคงยืนอยู่บนแท่นเป็นเบอร์หนึ่งได้ อย่างภาคภูมิ
ทุกอย่างในธรรมชาติมีที่มาที่ไป และมีช่วงเวลาของมัน
ต้นมะค่าโมงที่เคยมีใบเต็มต้น เมื่อถึงยามนี้ เหลือแค่เพียงฝักแก่เท่าผ่ามือสีดำห้อยโตงเตง แต่อีกไม่นานใบอ่อนสีแดงเลือดนกก็จะแตกยอดออกมาให้เห็น แล้วหลังจากนั้น ใบสีเขียวอ่อนก็จะพรึ่บพรั่บห่มคลุมเรือนยอดเต็มต้นไปหมด
ส่วนใต้ต้น เม็ดข้างในหลุดออกมาฝักแก่ที่แตกปริออกมา นอนแน่นิ่งรอให้เจ้าร็อคกี้พาเพื่อนพ้องมานั่งเก็บกินส่วนที่เป็นหัวขั้วสีเหลืองนวล,เหมือนที่เคย อีกครั้ง

                            


                                  9.เล่นกัน…ถึงตาย


ฝักส้มลม(Urceola rosea) ที่แก่เต็มที่ ทะยอยปริแตกออก ปลดปล่อยพาหนะที่บรรจุความอยู่รอดของวงศ์ตระกูลในเมล็ดสีน้ำตาลแบบบางที่มีขนฟูฟ่องอยู่ด้านบน ให้ลอยละล่องหลุดดออกจากฝัก ให้สายลมหอบหิ้วพัดพาไป (คล้ายกับที่เห็นในหนังเรื่อง อวตาร Avatar อย่างไงอย่างงั้นเลย) ใกล้ไกลแล้วแต่โชคชะตาและภูมิประเทศ ด้วยบางเมล็ดอาจจะติดแง็กอยู่กับกิ่งไม้ หยากไย่ หรือพุ่มใบหนา ไม่ร่อนสู่พื้นเบื้องล่างให้ก่อเกิด โดยมีอีกปัจจัยหนึ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องในการกระจายพันธุ์ด้วย คือเมล็ดลีบแบนเมล็ดนั้นจะต้องรอดพ้นสายตาของลิงอ้ายเงี้ยะให้ได้ เพราะสำหรับเถาส้มลมแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ใบอ่อน ใบแก่ ฝักอ่อน ฝักแก่ (กินเมล็ด) ก็ล้วยแต่อยู่ในรายการอาหารที่ลิงชอบกินทั้งนั้น
วันนี้ลิงหากินอยู่ไม่ไกลแค่ Tcat x Tfon เดินจากถนนเข้าไปไม่ถึง 15 นาที
แต่พอไปถึงบริเวณดังกล่าวกลับดูเงียบเชียบ มีเพียงเสียงลูกไม้หล่นลงพื้นเป็นระยะ ก่อนที่รอบเช้าจะเดินออกมาจากที่ซ่อนด้วยความตลกขบขัน พร้อมกับคำตอบที่ไขปริศนาว่า ตอนนี้ลิงกำลังพักผ่อนอยู่ หลังจากนั่งกินผลไทรมาเกือบชั่วโมงแล้ว พลางชี้ให้ดู ตามกิ่งก้านของต้นไม้ใบหนา ที่มีลิงนั่งจับคู่กันบ้างจับกลุ่มกันบ้าง ทำความสะอาดให้กัน และอีกหลายตัวก็แอบงีบหลับตามคาคบอย่างสบายอารมณ์ ถึงว่าทำไมมันถึงเงียบมาก แล้วรอบเช้าก็กลับออกไป
ช่วงนี้เดือนมีนาคม-เมษายน ที่เริ่มเห็นเปลือกของผลสุกหล่นตามพื้นบ้างแล้ว ก็เป็นผลของกำลังเสือโคร่ง (Ziziphus attopoensis ) เครือมีหนามคมบาดเนื้อแต่ผลมีรสหวานบาดใจ แต่ก็ยังไม่เยอะเท่าไหร่ รวมทั้งผลของมะดะขี้หนอน (Garcinia thorelii) ที่ผลบางต้นก็สุกเปลือกสีแดงสดหล่นเกลื่อนใต้ต้น แต่บางต้นผลยังเขียวอยู่
ที่เป็นเป้าหมายของฝูงลิงจริงๆยามนี้เห็นจะเป็น ผลไทรลูกเท่าหัวแม่มือสีเหลืองทอง-ไฮคำ เป็นอาหารยอดนิยม รู้ว่ามีอยู่ที่ไหนก็จะไปแต่ต้นนั้น ออกมุ่งหน้าตั้งแต่เช้า กินกิน นอนนอน พักผ่อน แล้วกินอีก ในหลายครั้งก็จะมีเพื่อนร่วมวงเป็นนกแก๊ก และชะนี นกแก๊กนั้นกินร่วมกันได้ แต่ชะนีนั้น คงต้องรอให้ฝูงลิงอิ่มเสียก่อนจึงจะกลับมากินได้
ฝูงลิงใช้เวลาช่วงเช้าถึงช่วงสายหมดไปกับต้นไทรทั้งกินทั้งนอน แล้วจึงเคลื่อนขบวนกัน
ขณะที่นั่งพิจารณาเจ้ากล้ามโตอาคิเลส Achilles ที่กำลังนอนตะแคงหลับตาไปได้ 22 นาที โดยไม่ได้บันทึกอะไรอื่นเลยนอกจาก
…Canopy-lying-resting… ระดับสูง-นอน-พักผ่อน
พวกตัวเล็กๆก็เริ่มไต่ลงมาเล่นกันในระดับต่ำ ตอนแรกเป็นเพียงกลุ่มของลูกลิงที่อายุยังไม่ครบปีแต่ก้ขาดไม่กี่เดือน อย่าง ไอโอน่า Iona  อัลตรา Ultra กล้วย Kluay และฟรังก้า Franca ไล่กอดไล่ปล้ำกันอยู่กับเถาวัลย์ แล้วสักพักพวกรุ่นโตกว่าก็เริ่มตามลงมาสมทบ อย่างเจ้า เรน Rain โลวา Lowa แดน Danและ จิลแบร์โต้ Gilberto
จากนั้นความอีรุงตุงนังก็เกิดขึ้น ดูไม่รู้ว่าใครเป็นใคร และไม่นานก็เปลี่ยนลานประลองกำลังจากบนเครือไม้ลงมาเป็นบนพื้นดิน ให้ปลุกปล้ำกันได้อย่างถนัดถะหนี่ขึ้น
และแล้วความเงียบสงบของการพักผ่อนก็ค่อยๆหมดไป เมื่อความสนุกสนานของการหยอกล้อเริ่มเกินเลยเป็นความไม่พอใจ พวกตัวโตๆก้ทะยอยลงมานั่งในระดับต่ำกัน แล้วก็ลงมาอยู่บนพื้น บางตัวก้เข้ามาร่วมหยอกเล่นกับตัวเล็กบ้าง ด้วยการคว้าไปกอดรัดแล้วก้กัดด้วยความหมั่นเขี้ยว ก่อนจะปล่อยให้เจ้าตัวเล็กแจ้นออกไปเล่นกับเพื่อนตามเดิม
ลิงบางตัวกลับไปกินผลไทรอีกครั้ง แต่หลายตัวเริ่มเปลี่ยนอิริยาบทและเตรียมตัว ออกเดินทาง
ผมบันทึกพฤติกรรมลิงเสร็จไปสองตัว โดยไม่ได้ขยับก้นไปไหนเลย เพราะตัวหนึ่งนอนอย่างเดียว และอีกตัวก็นั่งทำความสะอาดให้กัน
ฝูงลิงเริ่มเคลื่อนไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ด้วยการเดินบนพื้นดิน เจ้าพวกตัวเล็กยังวิ่งไล่กันอยูเหมือนเดิม ส่วนตัวใหญ่ก็หากินแมลง แมงมุมตามต้นไม้ระหว่างทาง ช่างน่าอภิรมย์จริงวันนี้ เดินก็ไม่ไกลแถมลิงก็ลงพื้นดีด้วย
ผมอารมณ์ดีมากจนลืมเรื่องความอบอ้าวของช่วงวันและเม็ดเหงื่อที่ซึมออกมาบางๆตามเนื้อตัว
แถมวันนี้ผมยังได้เห็นในสิ่งที่ผมไม่เคยได้เห็นและไม่คิดว่าจะได้เห็นมาก่อน
ระหว่างทางที่เคลื่อนขบวนกันบนพื้น เมื่อผ่านป่าไผ่ที่มีความร่มรื่นเย็นสบาย เพราะใกล้กับร่องน้ำ จู่ๆ เจ้ากล้ามโตอาคิเลส ก็เดินเข้าไปจับเจ้าแดน มาคั้นจู๋ ดูดจู๋ แล้วก็นั่งกัดตัวลูกลิงน้อย ก่อนจะล้มตัวกอดรัดกัดหยอกอีกพักใหญ่ พร้อมกับเสียงคราง อือๆ ส่วนเจ้าแดนก็หลับตาพริ้มอย่างมีความสุข จนเห็นเปลือกตาสีฟ้าอ่อน
เออนะ, เจ้าอาคิเลสก็เล่นกับเด็กเป็นด้วย จากนั้นทั้งสองก็กลิ้งคลุกฝุ่นไปมาบนพื้น 2-3 รอบ ให้เป็นที่ฉ่ำหัวใจทั้งผู้ร่วมกิจกรรมและผู้ชมอย่างผม ลูกลิงตัวอื่นๆก็ขยับเข้าไปใกล้ยืนมองด้วยอยากเข้าไปร่วมด้วยแต่ไม่กล้า เห็นจะมีแต่สาวน้อยแอนนา Anna ที่กล้าเข้าไปดูใกล้ๆกว่าเพื่อน ซึ่งก็เห็นผลทันที เมื่อเจ้าอาคิเลสหยุดหยอกล้อกับเจ้าแดน แล้วขู่ไล่สาวน้อยออกไป – รู้ไม่ใช่เหรอว่า เค้าไม่ค่อยชอบลูกลิงตัวเมียเท่าไหร่ เห็นไหม วิ่งหนีขี้แตกขี้แตนเลย สาวน้อยเอ้ย!
แล้วเจ้าอาคิเลสก็กลับไปกอดรัดกัดจู๋เจ้าแดนต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และไม่ใช่จะมีแต่เจ้าอาคิเลสเท่านั้นที่คลุกฝุ่นเล่นกับลิงเล็กวันนี้ เจ้าโบโนโบ Bonoboก็เหมือนกัน ที่ลงปนอนเกลือกกลิ้งหมุนไปหมุนมาบนพื้นหยอกล้อกับเจ้าบานาน่า Banana ที่ต่างก้แลกกันกัดอย่างสนุกสนาน
ผมไม่นึกเลยว่าลิงตัวผู้เต็มวัยจะเล่นเหมือนเด็กได้อย่างนี้ โดยเฉพาะเจ้าอาคิเลสที่ทำตัวเหมือน อาร์โนลด์ ชวาซเนกเกอร์ มาเล่นหนังตลกเบาสมอง- อะไรประมาณนั้น
สงสัยอากาศร้อนทำให้อารมณ์แปรปรวน เปลี่ยนจากความเกี้ยวกราดมาเป็นสนุกสนาน ต่างจากอากาศเย็นในหน้าหนาว ที่ทำให้ความสงบเสงี่ยมกลายเป็นความอหังการ
…อาจจะไม่ใช่เสมอไป แต่อย่างน้อยครั้งหนึ่งมันก็เป็นเช่นนั้น – กับฝูงลิงสตั้มปี้
เมื่อลิงหนุ่มอย่างเจ้าอาคิเลส สามารถก้าวขึ้นมาครองบัลลังก์จ่าฝูง ด้วยการปลิดชีพผู้ครองตำแหน่งตัวก่อนอย่างไม่ปราณีปราศรัย ผมไม่ได้เห็นการประลองกำลังครั้งนั้นว่าดุเดือดแค่ไหน แต่จากบาดแผลที่ทิ้งไว้ทั่วร่างของเจ้าแว่นตา ก้พอทำให้ทราบได้ว่า คู่ต่อกรของมัน …เล่นเอาถึงตาย
ไม่มีความแน่ชัดว่าเจ้าแว่นตาห่ำหั่นกับใครเพราะไม่มีลิงตัวไหนมีบาดแผลจากการต่อสู้เลย ยกเว้นแต่เจ้าอาคิเลเลสที่มีแผลตรงบริเวณปากและนิ้วมือฉีก เพียงเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับความหนักหนาสาหัสที่เจ้าแว่นตาได้รับตามร่างกาย มันเหมือนฝีมือแตกต่างกันมาก สภาพเลยเหมือนการโดนยำอยู่ฝ่ายเดียว ไม่น่าเชื่อ
แต่แล้วผมก็เห็นว่า เจ้าอาคิเลสมีคู่ควงเป็นสาว แบ็กกี้ Baggy ตัวเมียที่เจ้าแว่นตาตามจีบอยู่ก่อนตาย ก้เลยให้มีน้ำหนักในการคิดว่า คงเป็นเจ้าอาคิเลสนี่แหละที่อหังการเข้าแย่งตำแหน่งจ่าฝูงจากเจ้าแว่นตา แต่กับการเล่นถึงตายนั้น มันช่างดูโหดร้ายรุนแรงเกินไป สำหรับลิงหนุ่มที่ดูสงบเสงี่ยมอย่างเจ้าอาคิเลส
 หรือว่านี่คือ สิ่งที่ต้องทำ เมื่อต้องโค่นจ่าฝูง- ผมไม่อาจรู้ได้
เมื่อกลับไปนั่งตรองดูในพฤติกรรมก่อนที่เจ้าอาคิเลสหนุ่มจะทำการณ์ครั้งนั้น ก็พบอยู่สองอย่างที่เห็นชัดเจนคือ มันชอบไปอยู๋ตัวเดียวไม่ค่อยสุงสิงกับใครนัก เหมือนกำลังใช้ความคิดในการพิชิตเจ้าแว่นตา และอีกอย่างที่เห็นคือ มันจะฝนเขี้ยวลับคมอยู่เสมอๆ โดยในตอนแรกนั้นผมนึกว่าเป็นเพียงการนั่งเคี้ยวผลไม้จากถุงแก้ม เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เมื่อดูดีๆ มันคือการฝนเขี้ยวลับคม(Teeth grind) โดยใช้ฟันเขี้ยวที่มีบนล่างอย่างละสอง เสียดสีกันขึ้นลงไปมา เพื่อให้เกิดความหยาบและคมเพิ่มขึ้น
ในตอนนั้นผมคิดว่าเป็นเพราะใกล้ฤดูผสมพันธุ์จึงเตรียมไว้เพื่อป้องกันตัว ตามประสาลิงหนุ่ม ไม่ได้คิดว่ามันจะคิดการใหญ่ขนาดที่จะไปล้มจ่าฝูง เพราะรายรอบบัลลังก์ตอนนั้นก็มี เบอร์ 2-3-4 ที่ตัวใหญ่กว่ามันทั้งนั้น หากก็เป็นลิงแก่
แต่แล้ว เมื่อเช้าวันที่ปฏิบัติการณ์ล้มกระดานจบลง ผู้ท้าชิงก็สามารถพิชิตตำแหน่งมาได้…อย่างราบคาบ
พลิกขั้วการเมืองในฝูงฝหม่ จนทำให้ลิงหนุ่มอีก 2ตัว อย่าง ร็อกกี้ และศอก ก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้า ส่วนพวกลิงแก่ๆทั้งหลายก็เลื่อนลำดับลงไป จนผมเกิดความคิดที่ว่า อาจจะเป็นลิงหนุ่มสองตัวนี้ที่ช่วยกันรุมกินโต๊ะแว่นตาด้วยกันกับเจ้าอาคิเลส มาตอนนนี้เลยได้รับการสมนาคุณให้ขึ้นมาอยู่ในระดับสูงอย่างนี้,นั้นคือข้อสันนิษฐาน!
ช่วงแรกของการเป็นจ่าฝูง คือช่วงเวลาของการประกาศตัวถึงความเป็นใหญ่ เพื่อให้สมาชิกภายในฝูงรับรู้ถึงตำแหน่งของมันในปัจจุบัน บางตัวก็ยอมรับโดยดี บางตัวก็ยอมรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อมีการล้มกระดานเปลี่ยนตำแหน่งจ่าฝูง ลิงในลำดับต่างๆก็ต้องเปลี่ยนด้วย และนั้นก็เป็นสาเหตุให้เกิดการประลองกำลังกัน เพื่อตำแหน่งที่ตนต้องการ (ในตัวผู้เท่านั้น) ซึ่งก็เป็นโอกาสให้เจ้าอาคิเลสได้เลือกทีมงานไปด้วยในตัว ด้วยการเข้าไปเลือกข้างช่วยเหลือ เวลาใครทะเลาะกัน
การควบคุมปกครองฝูงในตอนแรกนั้น ดูเหมือนจะมีแต่ความวุ่นวาย กัดกันไม่เว้นแต่ละวัน
จากตัวผู้กับตัวผู้ …มาเป็นตัวผู้กับตัวเมีย… แล้วก็เป็นตัวเมียกับตัวเมีย ดูเหมือนฤดูผสมพันธุ์ปีนั้นจะยุ่งเหยิงเป็นอย่างมาหกไม่มีระบบระเบียบ ใครดีใครได้ ใครเร็วใครได้ ใครเผลอแล้วจะเสียใจ
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อตำแหน่งเริ่มลงตัว สถานการณ์ก็กลับเข้าสู่ปรกติ
เมื่อสังเกตดูแล้ว ตำแหน่งรองลงมาจากจ่าฝูง ก็จะเป็น ร็อกกี้ ศอก ส่วนตำแหน่งอื่นๆยังไม่แน่ชัดนัก แต่เหมือนว่าลิงหนุ่มจะได้ขึ้นมาอยู่ลำดับสูงๆ
ความเปลี่ยนแปลงยังคงเกิดขึ้นหลังการเปลี่ยนแปลง
เจ้านายหายตัวไป พร้อมกับลูกลิงน้อย4 ตัว…
สุดหล่อไม่กลับมาเข้าฝูง…
ศอกหายไป…
แต่ภายในฝูงก็เหมือนไม่ทุกข์ร้อนอะไร เพราะชีวิตต้องดำเนินต่อไป
ดำเนินไป ดำเนินไป …จนสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง!
เมื่อวันหนึ่ง เจ้าอาคิเลส เกิด แยกเขี้ยวเกรงกลัวเจ้า ร็อกกี้ ซึ่งหมายความว่า อาคิเลส กลัว ร็อกกี้ ซึ่งไม่น่าใช่ มันอาจจะมองผิดเหลี่ยมก็ได้ แต่แล้วก็เริ่มเห็นบ่อยขึ้น  เมื่อบวกกับกิริยาอื่นๆที่เปลี่ยนไป เช่นการเดินตามหลัง การเข้าถึงอาหารด้วย ….มันเกิดอะไรขึ้นกับจ่าฝูง ที่เกิดกลัวรองจ่าฝูงขึ้นมา หรือว่า
ตอนนี้ จ่าฝูงเปลี่ยนมือไปอยู่กับเจ้าร็อกกี้แล้ว ,ไม่นานนัก ก็ได้คำตอบว่า ใช่!
ด้วยเหตุผลใดก็ไม่รู้ที่เจ้ากล้ามโตอาคิเลสผู้ที่แย่งบัลลังก์จ่าฝูงมาได้ กลับอยู่ในตำแหน่งไม่ถึงปีก็ต้องยอมให้เจ้าร็อกกี้ ก้าวขึ้นมาแทน ทั้งที่เจ้าร็อกกี้ตัวเล็กว่า แถมขาเป๋ด้วย ผมไม่เข้าใจ???
สองฤดูกาลผสมพันธุ์แล้วที่ร็อกกี้ยืนอยู่บนแท่นเบอร์หนึ่งและมีสิทธิ์เลือกสาวใดก็ได้ที่หมายปอง โดยมีอาคิเลสเป็นเบอร์สอง ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน พักผ่อนก็อยู่ใกล้ๆกัน เวลามีเรื่องทะเลาะวิวาทก็คอยช่วยเหลือกัน
ผมไม่เคยเห็น ร็อกกี้ เล่นหยอกล้อกับพวกตัวเล็กๆเลย ยกเว้นก็แต่ตอนทำแซนวิชที่มีตัวผู้อื่นๆพามาเท่านั้น
ผิดกับเจ้าอาคิเลสที่ล้มตัวลงกลิ้งไปกลิ้งมากับลูกลิงตัวน้อยอย่างสนุกสนานเหมือนกับว่าเป็นรุ่นเดียวกัน
หรือว่า จริงๆแล้ว มันเองก็ยังไม่พร้อมที่จะเป็นจ่าฝูงอย่างจริงๆจังๆ
ที่ปลิดชีพจ่าฝูงแล้วยึดครองบัลลังก์นั้น เป็นการหยอกล้อเล่นเฉยๆ
เพียงแต่เป็นการเล่นกัน…ถึงตาย


   
             
10.เด็กในวันนี้

ท้องฟ้าสีฟ้าสด ที่มีเมฆขาวก้อนบางๆเคลื่อนตัวผ่านอย่างอ้อยอิ่ง ให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง แจ่มใส ร่มเงาเล็กๆที่ทาบทับตามทางเป็นระยะ ช่วยลดทอนความร้อนแรงของแสงแดดตอนใกล้เที่ยงที่สาดส่องลงมาระยิบระยับบนผิวถนน ไม่ให้สะท้อนแสบตามากนัก
เมื่อรถมอเตอร์ไซด์ของผมวิ่งผ่าน เหล่าผีเสื้อหลากสีทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ แตกฮือ ออกจากกองมูลของสัตว์ที่ชอบประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ ปล่อยของเสียไว้บนท้องถนนเป็นประจำ 
บรรยากาศวันนี้ดูสดใส เกินกว่าจะเชื่อว่าอยู่ในฤดูฝน หลังจากอาทิตย์ที่แล้ว ฝนพรำทุกวัน ถึงแม้นจะไม่หนาเม็ดแต่ก็ไม่หยุดหย่อนผ่อนพัก และสองสามวันที่ผ่านมา ท้องฟ้าก็อึมคึมตลอดวัน แม้นไม่มีฝนแต่ก็ทำท่าจะสร้างความเปียกปอนได้ทุกเวลา
แต่วันนี้ ท้องฟ้ากลับเจิดจ้า ไร้เมฆหมอก
วันหยุดภาคครึ่งปีของธนาคารเพิ่งผ่านเลยไป…ครึ่งปีแล้วนับจากวันปีใหม่
เวลาช่างเดินเร็วเสียเหลือเกิน บางเรื่องราวอาจหล่นหาย ลืมเลือน หากไม่มีการบันทึกไว้
อย่างเช่น กลางปีเป็นช่วงที่เราโดนแมงมุมหรือแมงย่างซิ่น ชักใยดักหน้าตามทางบ่อยสุด คนเดินนำหน้าเท่านั้นถึงจะรู้ว่า การมีใยแมงมุมทาบแปะอยู่บนใบหน้า มันรู้สึกอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับใยสีเหลืองที่ทนทานเป็นพิเศษ แถมเหนียวเหนอะอีกต่างหาก
หลายครั้งต้องอาศัยกิ่งไม้กวัดแกว่งนำทางไปก่อน เพื่อกำจัดกับดักเส้นบาง โดยในใจก็นึกถามเจ้าแมงมุมว่า มากลางใยตรงนี้จะได้อะไร …นอกจากนักวิจัย
บางครั้งก็นึกสงสารเจ้าของผลงานที่กว่าจะถักทอเสร็จแต่ละครั้ง คงใช้เวลานาน พยายามเดินหลบเลี่ยง ไม่ให้กระทบกระเทือน แผงดักอาหารของเจ้าแมงมุมน้อย
แต่กับสิ่งที่มองไม่เห็นหรือไม่ทันสังเกต จะหลบอย่างไร คงไม่พ้น
ก็…ฝูงบินอันตราย
แตน….ต่อย…..ปวด….บวม…
ในส่วนของแตนนี้ จะกลับกันกับใยแมงมุม สำหรับคนที่จะได้รับโชค เพราะส่วนใหญ่คนเดินนำหน้าจะรอด และเป็นคนเดินตามหลังที่โดน ประมาณว่า คนแรกเดินผ่านรัง รบกวนแตนที่ซ่อนรังไว้ข้างทาง มันก้จะฝนไร เตรียมตัวออกโจมตี ครั้นคนที่เดินตามมากระทบกระเทือนรังมันอีก ก็โดนเลยคราวนี้
ร้องและวิ่งป่าราบ, ในที่นี้ หมายถึง คนแรกไม่ได้เดินไปชนรังมันจังๆ และรับเคราะห์ไปก่อนแล้ว
หนีพ้นก็บ่อย เพราะเวลาได้ยินเสียงหึ่งๆทีไร เป็นต้องออกตัวหนีก่อนทุกที แม้นไม่รู้ว่าอะไรก็ตาม แต่ที่ไม่ทัน ก็หน้าบ้าง แขนบ้าง ให้ปวดๆ ตึงๆ ร้อนๆ แล้วก็ บวมๆ …จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานต่อแมลงกัดต่อยของแต่ละคน
    เรื่องของแตนต่อยเป็นเรื่องเจ็บปวดที่ผสมความขบขัน ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าที่บวมผิดรูป หรือท่าทางของการกระโจนหนีแตน และสำหรับคนที่โดนแจ็กพอต แม้นเพียงหนึ่งที่ ก็ปวดระบมทั้งวัน
ผมนั่งคิดอะไรไปเรื่อย ขณะนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ไปเปลี่ยนกะเช้า
เมื่อคืนลิงนอนที่ TnonSS บ่ายนี้น่าจะลงใต้มาทาง TmoiSS หน่อยนะ ผมคิดในใจระหว่างรอคำตอบจากกะเช้าว่าลิงอยู่ที่ไหน เมื่อจอดรถที่ทางเข้าเรียบร้อยแล้ว
“ ตอนนี้ ลิงพักผ่อนอยู่ที่ Tcor  X Tmit แต่มีท่าทีว่าจะขึ้นเหนือไปอีก ถึงTmit  ค่อยวิทยุมาถามอีกที”
คงต้องเดินอีกนานกว่าจะถึงจุดหมาย ผมบอกกับตัวเอง ก่อนสูดลมหายใจ แล้วกระชับกระเป๋าหลังก่อนพุ่งตัวเข้าป่าไป
การเดินทางเข้าไปเปลี่ยนกะนั้น ภาพที่พอจะช่วยให้หายเหนื่อยเวลาไปถึง คงไม่มีภาพไหนดีไปกว่า ภาพที่พวกเจ้าตัวเล็ก เล่นซุกซนกันอยู่บนพื้น หยอกล้อกันไปมา และถ้าจะให้ดีขึ้นไปอีก ต้องมีภาพพวดตัวใหญ่นั่งนอนเอกเขนกอยู่ต่ำๆ หรือจับคู่ทำความสะอาดกัน
พูดถึงพวกเจ้าตัวเล็ก อยากรู้ไหมครับว่า ปีนี้ (2011) สุดท้ายแล้วยอดรวมลูกลิงเกิดใหม่มีเท่าไหร่?
การคาดหมายที่ส่งมาจากห้องแลปที่เยอรมนี บอกไว้ว่ามีลิงตัวเมีย 11ตัว ที่จะให้กำเนิดลูกปีนี้
แต่พอเอาเข้าจริงๆ กลับมีตั้ง 13 ตัว เกินความคาดหมายไป 2 ตัว
โดยเริ่มคลอดลูกกันตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม จาก สาว วีเวอร์ WEAVER ดังนั้น ชื่อ มีนา MIINA จึงเป็นของสาวน้อยตัวนั้น แล้วจากนั้น ก็ทยอยออกลูกกันมาเรื่อยๆ
ปีนี้ ยายพิณ PINKLE ลิงสาวสองพันปี ก็ยังให้กำเนิดลูกชาย ออสแมน OSMAN กับเค้าด้วยเหมือนกัน แล้วก็เป็น ไวท์ตี้ WHITEY กับ ฟินน์FINN ,ตั้กแตน THAKRATEN กับ ฮอปเปอร์ HOPPER ,น้ำ NAAM กับ การ์เซียร์ GARCIA
และที่น่าดีใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับพวกเราคือ สตัมปี้ ลิงสาวแขนเดียว สัญลักษณ์ของฝูง ได้ให้กำเนิดลูกได้สำเร็จเสียที หลังจากที่แบกท้อง ไต่ต้นไม้มาเป็นปีที่สองแล้ว แถมยังได้ลูกชายอีกด้วย ด้วยความยินดีอย่างนี้ ชื่อ ยินดี  YINDEE จึงถูกมอบให้เจ้าจู๋น้อยตัวนั้น
แต่แล้วเราก็ต้องแปลกใจเมื่อ แพร์ PAIR ได้ให้กำเนิดลูกออกมาอีก เป็นปีที่สองติดต่อกัน เพราะจากข้อมูลที่เรามีนั้น แม่ลิงน่าจะออกลูก ปีเว้นปี แต่แล้วปีนี้ สาวกล้วย KLUAY ก็ได้ เงาะ NGOA มาเป็นน้องชายและเข้ามาแย่งหัวนมจากแม่ไป
จากนั้นแม่ลิงอีกสองตัว ที่เพิ่งมีลูกเมื่อปีที่แล้วอย่าง นัวล่า NUALA และ แพดเม่ PADME ก็ให้กำเนิดลูกตามมา และได้รับชื่อเก๋ไก๋ว่า ออกซิเจน OXYGEN  และ โอโซน OZONE ตามลำดับ
ถึงตอนนั้น ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหน ก็ให้เห็นแต่กลุ่มแม่ลูกอ่อนกระเตงลูกลิงน้อยตัวสีชมพูขนดำๆ เดินเต็มไปหมด ยิ่งภายในรัศมี สี่เมตรห้าเมตรรอบๆ เจ้าร็อคกี้ จ่าฝูง จะยิ่งหนาแน่น
แล้วจำนวนลูกลิงก็มาหยุดอยู่ที่ 11 ตัว เท่ากับการคาดหมายที่ได้รับมาจากหน่วยเหนือ
เป็นเวลาเดือนกว่าๆที่ไม่มีลูกลิงคลอดใหม่ แต่ก็ยังมีแม่ลิง อีก 2 ตัว ที่อยู่ในข่ายที่จะให้กำเนิดลูก
…สาว แบ็กกี้  BAGGY และ สาวน้อย ซิมบ้า ZIMBA
แบ็กกี้นั้นเป็นคุณแม่ที่มีประสบการณ์ เพราะมีลูกน่ารักๆ มาแล้วสองตัว คือ เจ้า ค้างคาว KANGKAO และ วิเวียน VIVIAN
ส่วนซิมบ้านั้น เป็นสาวน้อยอายุ 5 ปี เธอเกิดในปีที่ผมมาทำงานเป็นปีแรก และนี้จะเป็นลูกตัวแรกของเธอ
แต่ก่อนที่จะมีการเพิ่มจำนวนลูกลิง ก็เกิดการลดจำนวนลงเสียก่อน!
เมื่อ เจ้าออสแมน OSMAN ลูกชายของยายพิณ PINKLE ได้หายไป โดยไร้ร่องรอย ส่วนยายพิณ ร้องหาลูกน้อยอยู่สองวัน ก็ให้ปลงตกหมดหวังหรืออะไรก็แล้วแต่ มาเดินหน้าเศร้าตามหลังตัวเมียตัวอื่นๆที่มีลูกเกาะหน้าท้อง โดยไม่มีน้ำตาและอาการฟูมฟายใดใด
ท่าทางของเจ้าออสแมนนั้น ก็มีสัญณาณไม่ดีมานานแล้ว ทั้งไม่ค่อยยอมกินนมแม่เหมือนลิงน้อยทั่วไป และก็ชอบร้องแอ๊บๆ เหมือนกบบ่อยๆ เมื่อไม่กินนมที่เป็นแหล่งพลังงานอย่างเดียวของลูกลิงในวัยนี้แล้ว จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาเกาะเกี่ยวหน้าท้องของแม่เวลาเดินทาง แต่ก็ไม่รู้ว่ายายพิณเองไปพลัดหลงกับลูกอีท่าไหนเหมือนกัน
น่าสงสารยายแก มีลูกชายกี่ตัว ก็ไม่มีใครอยู่รอด เป็นที่พึ่งได้ ทั้งเจ้า ทวิงเกิล TWINKLE  ประหลาดใจ PRALATJAI แล้วก็มา ออสแมน OSMAN
ไม่นานนัก แบ็กกี้ ที่เดินอุ้ยอ้ายอุ้มท้องขาวๆป่องๆ ก็ให้กำเนิดลูกสาว ไอริส IRIS ออกมาเติมให้จำนวนลูกลิงเท่าเดิม
และก็เหลือตัวสุดท้ายที่พวกเราตั้งตาคอย กับ ซิมบ้า สาวน้อยที่กำลังจะเป็นคุณแม่มือใหม่ในไม่ช้า ก่อนนี้หลายคนบอกว่า เธอยังเล็กเกินกว่าที่จะมีลูกได้ แต่เมื่อมองดูร่างกายเธอแล้ว ทั้งท้องที่โตขึ้นเรื่อยๆ และหัวนมสีชมพูที่ใหญ่ออกมาให้เห็นชัดเจน แถมชอบนอนกลางวันด้วย จะให้ผมคิดเป็นอย่างอื่นได้อย่างไรล่ะ 
แล้วเช้าวันที่ 4 กรกฦฏาคม 2011 ซิมบ้าก็เดินหอบลูกน้อยตัวสีชมพูไต่ไปมาให้พวกเราได้เห็น
เป็นอันสิ้นสุดการรอคอย กับความสำเร็จของการสืบทอดเผ่าพันธุ์ จากปลายปีที่แล้ว
ทั้งหมด 13 ตัว ไม่รอดหนึ่งตัว ตัวผู้ 7 ตัว และตัวเมีย 6 ตัว มีแม่ลิงเพียง สองตัวเท่านั้น คือ สการ์เลต SC ARLET และ เอลล่า ELLA  ที่ไม่ได้ให้กำเนิดลูกในปีนี้
งานต่อไปก็คือการเลี้ยงดูให้ลูกลิงน้อยเติบโต ในรายที่น่าเป็นห่วง อย่างสตั้มปี้ คุณแม่มือใหม่แขนเดียวที่คิดว่า จะไม่ไหวไม่รอด พอมาถึงตอนนี้ ก็ไม่มีอะไรให้วิตกแล้ว เพราะเจ้ายินดี ก็แข็งแรงโตวันโตคืนและเริ่มออกจากอกแม่ไปห้อยโหน เล่นซนกับเพื่อนๆในวัยเดียวกันบ้างแล้ว
จะมีกังวลนิดหน่อยก็ กับซิมบ้าที่ตอนแรกนั้น ได้ข่าวมาว่าตอนแรก เจ้าจู๋น้อย คีโม KIMO ไม่ค่อยจะยอมกินนมสักเท่าไหร่ แต่หลายวันที่ผ่านมาก็เห็นคาบหัวนมไม่ยอมปล่อยเหมือนกัน และขนาดตัวก็ดูไม่เล็กเหมือนเจ้าออสแมน คงไม่มีปัญหาอะไร
คงต้องใช้เวลาไม่น้อยที่จะ จดจำแยกแยะ ความแตกต่างของลูกลิงทั้ง 12 ตัวในปีนี้ได้หมด
ก็ขนาด 5 ตัวในปีที่แล้ว ผมก้ยังไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไหร่เลย ด้วยว่า ไม่ค่อยได้คลุกคลีมากนัก
เกือบเที่ยง, เมื่อไปถึงจุดที่จะเปลี่ยนกะกับรอบเช้า ไม่มีภาพที่จะทำให้หายเหนื่อยอย่างที่หวังไว้ แต่กลับได้ยินเรื่องที่ทำให้ช็อคและเหนื่อยกว่าเดิม จนแทบไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองและคำพูดของคนที่บอกให้ฟัง
“ไอ้เจย์ ตายแล้ว!”
“อะไรนะ?” ผมยังไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไหร่เพราะมัวแต่หอบเหนื่อยและพันแขนเสื้ออยู่
“ไอ้เจย์ JAY ตายแล้ว โดนอะไรกัดไม่รู้ คิดว่าเป็นแมวสักอย่าง ตอนสายๆ เห็นทั้งฝูงร้องเตือน แอ๊วๆๆ กันยกใหญ่ แล้วก็วิ่งกรูไปดู ก็เลยตามไปดู แต่ไม่ทันเห็นว่าเป็นตัวอะไร พอสักหน่อยก้เห็นลิงนอนอยู่บนพื้น ไปดูใกล้ เลยรู้ว่า เป็น ไอ้ เจย์ นอนจมกองเลือดอยู่ ตรงคอถูกกัด สองแผล ตัวยังอุ่นๆอยู่เลย และไม่มีชิ้นส่วนใดหายไป น่าจะเป็นแมวดาวหรือเสือลายเมฆ มั้ง” ทีมงานในรอบเช้าสารยายเหตุการณ์ให้ฟัง
ผมไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้ยินเรื่องอย่างนี้ เพราะตั้งแต่ผมมาทำงานอยู่กับฝูงสตั้มปี้หลายปี ยังไม่เคยเห็นสัตว์ผู้ล่ามาพรากชีวิตของสมาชิกในฝูงลิงเลยสักครั้ง
ด้วยที่หายไปจะเป็นพวกตัวใหญ่ที่ย้ายฝูงหรือใกล้หมดอายุขัย หรือไม่ก็ลูกลิงตัวเล็กที่ช่วยตัวเองไม่ได้ คลอดได้ไม่นาน หรือไม่ก็ตัวที่ป่วย ไม่เคยมีกรณีถูกล่าต่อหน้าต่อตาอย่างนี้เลย
เจย์ เป็นลิงรุ่นราวคราวเดียวกันกับ ซิมบ้า เกิดในช่วงปีแรกที่ผมเข้ามาทำงาน มีลักษณะเด่นคือ หางตอนปลายหักงอไปทางซ้าย 90 องศา
มันมีนิสัยขี้สงสัยมาตั้งแต่ตัวเล็กๆแล้ว และแทบเป็นลิงตัวแรกๆที่เข้ามาแตะๆจับๆ ถุงกันทาก หรือไม่ก็เข้ามาดมกระเป๋าที่ผมถอดวางทิ้งไว้
เมื่อโตมาสักหน่อยก้มีนิสัยก้าวร้าวแบบเด็กหนุ่มผสมเข้ามาอีก เพราะเมื่อเจอกันทีไร มันมักจะจ้องหน้าแล้วอ้าปากขู่ OPEN MOUTH พวกเราเสมอ หรือไม่ก้ร้องเรียกเพื่อนรุ่นเดียวกัน โดยเฉพาะคู่หูของมันอย่างเจ้าขาวน้อย KAONOI มาช่วยกันจ้องขู่ผม แต่เมื่อผมยืนเฉยๆ ทำไม่สนใจมัน มันก็จะเบื่อและเดินจากไปเอง
คงเป็นความขี้สงสัยและความก้าวร้าวแบบเด็กหนุ่มที่ทำให้เจ้าเจย์มีจุดจบแบบนี้
แต่ทำไมต้องเป็นเจ้าเจย์ด้วย ผมไม่อยากเชื่อเลย
ต่อไปผมคงไม่ได้เห็นลิงตัวเล็กใจใหญ่หางหัก มาร้องขู่ร้องทักอีกแล้ว และลูกลิงในรุ่นนั้นก็หายไปอีกหนึ่งตัว จาก 6 ตัว เหลืออยู่ 2 ตัว 
ทวิงเกิล TWINKLE ย้ายฝูงไปกับเจ้านายพ่อของมัน ฟีฟ่า FIFA ตายตั้งแต่ยังเล็กๆ เลอา LEIAหายไปเฉยๆ แล้วเจ้าเจย์ก็มาตายตามไป ที่เหลือคือ ขาวน้อย KAONOI และซิมบ้า ZIMBA ที่เพิ่งให้กำเนิดลูกเมื่อสามวันก่อน
ส่วนมากเราจะมีเรื่องลิงตัวใหญ่กลับมานั่งคุย(นินทา) หลังเลิกงาน ตัวนั้นทำอย่างนี้ ตัวนี้ทำอย่างนั้น ไม่ค่อยมีเรื่องลิงตัวเล็กเท่าไหร่ แต่เจ้าเจย์เป็นข้อยกเว้น
ที่มักจะหาเรื่องหาราวมาให้เราได้เก็บไปคุยกันเสมอๆ
เช่นวันหนึ่ง เจ้าเจย์ก็ตาบวมเบ่งมา เพราะโดนอะไรต่อยมา ทำให้หน้าตาเปลี่ยนไป ดูตลกมาก หรือไม่ วันหนึ่งจับกิ้งก่าได้ แต่ไม่กล้ากิน ได้แต่ถูไปถูมาจนเละคามือ จากนั้นก็เอามาดมแล้วก็ทิ้งไปเฉยๆ
ส่วนเรื่องที่จะมาเกาะแกะตามถุงกันทากนั้น เป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นเรื่องปกติ และหากไปมองหน้ามัน มันยิ่งจะร้องขู่เอาอีก จนบางทีต้องหลีกทางไม่เข้าไปใกล้
ไม่ได้เห็นภาพของความห้าวแบบนั้นอีก คงคิดถึงแย่ และที่แน่คงไม่ใช่ผมคนเดียวที่คิด
บ่ายนี้เหมือนสิ่งรอบตัวทุกอย่างในป่าดู หดหู่ เชื่องช้า เซื่องซึม ลิงก็อยู่กันเงีบยๆ หลังจากกินใบส้มลมบนยอดไม้เสร็จ ก็นั่งหลับนอนหลับ บ้างก็จับคู่ทำความสะอาดให้กัน
ไม่มีเสียงตัวเล็กๆเล่นกันให้ได้ยิน หรือว่าเพราะหัวหน้าแก๊งจอมซนไม่อยู่แล้ว ก็เป็นได้
ต้นไม้ยืนแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น และเป็นอย่างนั้นมานานแล้ว แดดก็ส่องลงมาตามปกติเหมือนอย่างเคย
แต่ตอนนี้ เมื่อมีลมพัดผ่านมาแสงและเงาที่พลิ้วไหว ตามพุ่มใบหนา ช่างพาใจเศร้าโศกเสียนี้กระไร
    สักพักกลับมีคลื่นลมวูบใหญ่เข้ามาสั่นไหวยอดไม้ ให้จิตใจหลุดออกมาจากห้วงคำนึงถึงเจ้าเจย์ มาอยู่กับความเกรี้ยวกราดของสายลมแทน
เมื่อสายลมกรรโชกข้ามผ่านไป ผืนป่าก็กลับมาสงบอีกครั้ง และปล่อยให้ความเงียบฉุดดึงเสียงจักจั่นและนกนานา ออกมาแต่งแต้มพงไพรดั่งเดิม
สิ่งที่เราพบเจออยู่ภายนอกนั้น ก็สวยงาม ไพเราะ เท่ากันสำหรับทุกคน สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ภายในตัวเราแต่ละคนในห้วงเวลานั้นต่างหาก ที่ทำให้รู้สึกแตกต่าง จากสิ่งเดียวกัน
เย็นนี้ ลิงคงจะพากันนอนที่TjonSS ซึ่งไม่ได้แวะมาใช้บริการนานมากแล้ว
ส่วนผมค่ำนี้ คงจะกลับไปนั่งดูรูปเก่าๆของเจ้าเจย์ เพื่อรำลึกถึงความห้าวและความซุกซนปะปนด้วยความคิดถึง
…ที่ทุ้มอยู่ในใจ

ไว้อาลัย แด่ เจ้าเจย์ จอมซนหน้าขน ที่ทำให้ยิ้มได้ยามเหนื่อยเสมอมา
 










11.เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด

ห่างหายไปนานกับข่าวคราวความเป็นไปในฝูงลิงสตั้มบี้ และหากจะหาข้ออ้างให้ตัวเองพ้นผิดจากความฟุ้งซ่านแห่งใจในช่วงที่ผ่านมาแล้ว ก็ต้องโยนความรับผิดชอบให้กับวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ที่สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคกลางและกรุงเทพมหานครเมืองหลวง เมืองที่สาวน้อยคนหนึ่งอาศัยอยู่และต้องหลบหลีกสถานการณ์น้ำท่วมมาอยู่ในป่า ให้พ่อแม่ได้อุ่นอกอุ่นใจ และให้ผมได้หายคิดถึงและลดความเป็นห่วง
บางคนอาจบอกว่า ฟังไม่ขึ้น -ต้องขออภัย แต่บางคนอาจยิ้มๆและบอกว่าเข้าใจ -ต้องขอขอบคุณ
อีกอย่างสถานการณ์ที่ผ่านมา ในฝูงก็ไม่ค่อยมีอะไรน่าตื่นเต้นหรือให้เป็นที่จดจำรำลึกสักเท่าไหร่ เมื่อลิงแต่ละตัวต่างคนต่างอยู่ แยกกันเป็นก๊กเป็นก้อน จนแทบไม่มีกิจกรรมสังคมอะไรร่วมกันเลย นอกจากการจับคู่ทำความสะอาดให้กันยามว่างเท่านั้นรวมทั้งการได้ไปทำงานกลับไปกลับมาระหว่างลิงสองฝูง
 คือเรามีฝูงสตั้มปี้และกำลังพยายามทำให้ลิงอีกฝูงที่อยู่ใกล้ถนนมากกว่าคุ้นคน เพื่อสามารถเก็บข้อมูลต่างๆได้ และหลังจากนั้น จะได้นำข้อมูลที่ได้มาเปรียบเทียบกันระหว่างลิงวอกภูเขาสองฝูง ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องของวันข้างหน้า แต่ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงติดดตามลิงให้คุ้นเคยกับการปรากฎตัวของคนเสียก่อน พร้อมกับพยายามจดจำลักษณะเด่นของลิงแต่ละตัวและตั้งชื่อ
ซึ่งมาถึงวันนี้ ขั้นตอนการทำให้ลิงคุ้นคนนั้น สำเร็จเกือบ 80% แล้ว เพราะเราตามติดลิงได้ทั้งวันโดยที่ลิงไม่หาย และมีตัวผู้และตัวเมียหลายตัวที่ไม่กลัวเราแล้ว ลงมาเดินหากินบนพื้นดิน หรือต้นไม้ต่ำใกล้ๆ ห่างจากเราไม่ถึง 10 เมตร
ลิงฝูงนี้เราตั้งชื่อตามประเทศ เมือง หรืออะไรก็ตามที่เป็นชื่อทางภูมิศาสตร์ เช่น China, Andora, Kilimanjaro
นั่นทำให้ความต่อเนื่องทางอารมณ์ของผมจากฝูงสตั้มปี้ ขาดหายเป็นห้วงๆ จนไม่เหลืออะไรติดมือมาเล่าให้ฟัง
แต่แล้วความเงียบสงบในฝูงสตั้มปี้ ที่ดำเนินผ่านช่วงฤดูผสมพันธุ์มาได้ไม่นาน หลังจากหน้าฝนลาจากไป ก็กลับกลายเป็นความตึงเครียด เกรี้ยวกราด และวุ่นวาย
ในตอนแรกผมคิดว่า ปีนี้ จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนปีที่แล้ว ที่เป็นระเบียบเรียบร้อย แม้นจะทะเลาะกันบ้าง แต่ก็ประปรายไม่หนัหหนาสาหัสอะไร ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของช่วงผสมพันธุ์ที่ฮอร์โมนเพศจะพุ่งพล่าน เกิดเรื่องกระทบกระทั่งกันได้ง่าย ทั้งตัวผู้และตัวเมีย
แต่ปรากฎว่ามันไม่ใช่อย่างที่คาดคิดไว้ เพราะเริ่มเดือนธันวามไปได้ไม่กี่วัน  เราก็ได้เห็นว่า เช้าวันหนึ่ง เจ้าร็อกกี้ (Rocky) จ่าฝูง กับเจ้ากล้ามโต อาคิเลส (Achilles) รองจ่าฝูง และเจ้าโบโนโบ (Bonobo) ต่างก็มีแผลเหวอะหวะตัวละแผลสองแผล ที่หนักสุดเห็นจะเป็น เจ้าร็อกกี้ ที่น่องขาท่อนบนฉีกขาดขนาดใหญ่ จนเห็นเป็นแผ่นเนื้อแดงๆห้อยไปมา ขณะโขยกเขยกไปบนพื้น นอกนั้นก็เป็นแผลเล็กบ้างใหญ่บ้าง
ใครกันช่างกล้า? กัดลูกพี่ใหญ่ขาแทบขาอย่างนั้น
เมื่อสังเกตความเป็นไปโดยรอบๆ ควาสัมพันธ์กับเจ้สอาคิเลส ก็ยังคงเหมือนเดิม ไปไหนมาไหนด้วยกันไม่ห่าง แต่ที่ผิดสังเหกตคือ การที่เจ้าโบโนโบ ลิงหนุ่มขนสีเข้มที่มีแผลฉีกตรงแขนขนาดใหญ่ เข้ามาเดินกร่างในรัศมีของสองผ็ยิ่งใหญ่ หลังจากไม่เห็นหน้าเห็นตา หากินอยู่วงนอกมานาน
หรือมันจะเป็นผู้ที่คิดโค่นบัลลังก์จ่าฝูง...
ขนาดตัวของเจ้าโบโนโบดูจะเล็กกว่า อาคิเลสอยู่หน่อย แถมเบอร์หนึ่งกับเบอร์สองคงไม่ยอมลงง่ายๆ น่าจะคอยช่วยเหลือกัน สองตัวต่อหนึ่งตัว คงดูลำบากในการปะทะกัน แต่ถ้าเป็นสองต่อสองก็ไม่แน่
ผมหมายถึงเจ้าโบโนโบ กับเจ้าลิม(Limp) ลิงหนุ่มอีกตัวที่ยังไม่เห็นหน้าเลยในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ลิงหนุ่มสองตัวอาจจะคิดล้มจ่าฝูง เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อ 3 ปีก่อน
แล้วผมก็ได้เห็นเจ้าลิม ในวันถัดมา มันได้รับบาดเจ็บเช่นกัน (นึกว่าโดนเก็บไปเรียบร้อยแล้ว) เหมือนอะไรบางอย่างจะผิดปกติอยู่ในแขน อาจจะเส้นเอ็น หรือกระดูก หรือกล้ามเนื้อ ทำให้มันไม่ใช้แขนขวาเลยเวลาเดินทาง
และเหล่านั้นคือลิงตัวผู้ที่คาดว่าเกี่ยวข้องกับการบาดเจ็บของจ่าฝูงในครั้งนี้ คงจะมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในฝูงเป็นแน่ ต้องตามติดสถานการณ์ต่อไป
หลังจากนั้น ทุกวัน จะมีการทะเลาะวิวาทในฝูงระหว่างลิงตัวผู้เสมอๆ และแน่นอนที่มันย่อมจะนำมาซึ่งบาดแผลเล็กๆน้อยๆ แก่ลิงทุกตัว ไม่เว้นแม้แต่เจ้าช้าง(Chang) ลิงหนุ่มที่ชอบอยู่วงนอกสังคม ก็มีบาดแผลเช่นกัน (บางที ช่วงนี้อาจจะเป็นช่วงเวลาที่สามารถเปลี่ยนลำดับชั้นทางสังคมก็ได้ ใครจะไม่อยากเข้ามาแสดงตัว) ซึ่งต่อมาเจ้าช้างมันก็มาปรากฎตัวอยู่ในฝูงมากขึ้น เห็นหน้าเห็นหนวดได้บ่อยกว่าเดิม หรือมันคงถึงเวลาที่จะเข้ามามีบทบาทในสังคมแล้ว
แล้วความเกี้ยวกราดแห่งอารมณ์ก็แพร่ผ่านจากกลุ่มตัวผู้ไปสู่กลุ่มตัวเมีย ให้เลือดตกยางออก แทบทุกวัน         ไม่แพ้กัน
ฤดูแห่งการผสมพันธุ์ แทนที่จะคลุ้งคาวไปด้วยกลิ่นน้ำเชื้อ แต่กลับกลายเป็นกลิ่นเลือด...
มันคงจะไม่น่าเกี่ยวกับความเครียด ที่ปีนี้ มีลิงตัวเมียที่คาดว่าจะตั้งท้องได้เพียง 3 ตัว คือ สกาเล็ต(Scarlet) เอลล่า (Ella) ที่เว้นว่างการมีลูกเมื่อปีที่แล้วและยายพิงเกิล (Pinkle) ที่เสียลูกไปตั้งแต่ยังแบเบาะ ส่วนตัวเมียตัวอื่นที่ออกลูกปีที่แล้ว ก็มีโอกาสอยู่เหมือนกัน แต่ก็จะน้อยลงมา
จนทำให้พวกตัวผู้ต้อง เปิดศึกแย่งชิงความเป็นใหญ่เพื่อให้ได้ ...เธอมาครอง
ผมมองว่าปัจจัยหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับความสำเร้จในการก้าวขึ้นมาเป็นจ่าฝุงหรือการไม่เพลี่ยงพล้ำในการต่อสู้เพื่อลำดับชั้นทางสังคมนั้น คือ การคบเพื่อนหรือการเลือกข้างที่จะอยู่
เพราะพละกำลังเพียงอย่างเดียว คงครองความยิ่งใหญ่หรือชนะได้ไม่นาน หากขาดผู้สนับสนุนและคอบช่วยเหลือกันและกัน เหมือนอย่าง แว่นตา กับ เจ้านาย และ ร็อกกี้ กับ อาคิเลส ที่คอยเกื้อกูลกัน และสามารถเปลี่ยนตำแหน่งกันเองโดยไม่ต้องมีความบาดหมางทางกายและทางใจ
และดูเหมือนคราวนี้ก็เหมือนกันที่เจ้าโบโนโบ มีเจ้าลิม ที่จะเป็นมิตรที่ดีต่อกัน มาคอยช่วยเหลือ เสริมพลังลิงหนุ่มถล่มบัลลังก์
ผมได้เห็น แพตเชส(Patches) ตั้กแตน(Thakraten)และสงกรานต์(Sonkran) ซึ่งเป็นครอบครัวของเจ้าแม่แห่งลิงตัวเมีย มาคอยทำความสะอาดให้กับเจ้าโบโนโบ คล้ายกับการมาเอาใจ จ่าฝูงตัวใหม่ ...หรือเปล่า?
และผมยะงได้เห็น เจ้าโบโนโบ เขย่าต้นไม้(Tree shake)ต่อหน้า เจ้าร็อกกี้ จ่าฝูงและเจ้าอาคิเลส เพื่อแสดงพละกำลัง และยังเห็น เจ้าโบโนโบ เดินตามจีบ สการืเล็ต ลิงตัวเมียที่ เจ้าร็อกกี้เคยเดินตามจีบมาหลายวัน
หรือว่าเจ้าโบโนโบ มันจะทำสำเร็จแล้ว กับการโค่นจ่าฝูง!!?!!
แต่ผมก็ยังไม่เห็นสัญญาณที่แน่ชัดจนพอจะแน่ใจได้ว่า มันได้เกิดขึ้นจริงๆ...
แผลที่น่องของร็อกกี้ยังคงเหวอะหวะน่ากลัว แต่ดูสะอาดขึ้น ด้วยการดูเลีย ไม่ได้พิมพ์ผิดครับ ดูและเลียเพื่อทำความสะอาดแผลจริงๆ จากแพตเชสและลิม แต่ที่ดูแย่ลงกลับเป็นแผลที่ข้างแผ่นรองนั่งตรงก้นของเจ้าอาคิเลส ที่แม้นจะไม่ฉีกกว้าง แต่ดันเป็นแผลลึกลงไป และดูเหมือนจะเริ่มอักเสบและมีกลิ่นไม่ดีออกมาแล้ว พร้อมกับของเหลวสีดำๆ ที่เจ้าตัวมักจะล้วงแคะออกมาดมและเลีย และต่อมาตรงบริเวณนั้นก็บวม จนไม่สามารถใช้เดินได้เลย
เมื่อมองดูในตอนนี้แล้ว ทั้งจ่าฝูงและรองจ่าฝูง ต่างก็กลายเป็นลิงพิการไป อาจจะมีเหตุการณ์อะไรให้เห็นก็ได้ จากผู้ที่คอยโอกาส แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่มีการประกาศศักดาจากเจ้าโบโนโบ ไม่มีการท้าชิงใดใดเกิดขึ้น เบอร์หนี่งและบอร์สองยังคงโขยกเขยกไปด้วยกันตามเคย และยังอยู่ในตำแหน่งอย่างเคย
เจ้าช้างเริ่มขยับออกไปอยู่วงนอกเหมือนเก่าก่อน เปลี่ยนเป็น บรูโน(Bruno) และ วอลเลส(Wallace) ที่เข้ามาเสนอหน้าเสนอหนวดบ่อยขึ้น รวมทั้ง เจ้า คัท(Cut) และ ทรูแมน(Truman) ลิงหนุ่มน้อยที่ชอบหาเรื่องทะเลาะกันได้ทุกวัน
และเหมือนในฝูงจะแยกกันอกกหากินเป็นสองพวกใหญ่ๆ พวกจ่าฝูงเก่าและพวกของเจ้าโบโนโบกับลิงหนุ่มๆ เพราะเวลาทำงาน เมื่อได้ตามแก๊งค์ไหนแล้ว ก็จะเห็นแต่หน้าเดิมๆ ไปตลอด ทั้งตัวผู้ตัวเมีย รวมทั้งเจ้าตัวเล็กที่แบ่งพวกเล่นกันอย่างชัดเจน
สิ่งที่เริ่มสังเกตได้ในความเปลี่ยนแปลงคือ ทุกความขัดแย้งและวิวาทกัน จะมีเจ้าลิม เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเสมอ และดูเหมือนมันจะสนิมสนมกับเจ้าร็อกกี้จ่าฝูงมากขึ้นทุกวัน แทนที่มันจะไปสุงสิงอยู่กับโบโนโบ เพื่อนของมัน มันกลับไปไหนมาไหนกับ ร็อกกี้ และ อาคิเลส
จนวันหนึ่งสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ระหว่างที่ลิงหากินใบอ่อนและแมลงอยู่ตามพื้น เมื่อเจ้าอาคิเลส ซึ่งเป็นรองจ่าฝูง เกิดแยกเขี้ยวเกรงกลัว (Bare teeth) ให้เจ้าลิม ในครั้งแรกผมก็ไม่แน่ใจเพราะเห็นไม่ชัดแจ้งเท่าไหร่
 แต่เมื่อเห็นอีกครั้ง ก็ให้แน่ใจว่า เจ้ากล้ามโต แยกเขี้ยวเกรงกลัวให้กับเจ้าลิมจริงๆ ซึ่งหมายถึง ลิมได้ผลักอาคิเลส ตกจากตำแหน่งรองจ่าฝูงไปแล้ว
ถึงว่าช่วงนี้ เวลาเดินผ่านกัน ลิมจะเดินเบียดร่างอาคิเลส ไปแบบไม่สะทกสะท้าน อย่างที่อาคิเลสเคยทำเอาไว้กับมันสมัยก่อน
ถึงวันนี้เป็นทีของลิมแล้วที่จะเดินกร่างประกาศศักดาอย่างนั้นบ้าง!
แล้วโบโนโบก็หายไปจากความวุ่นวายวงในที่เกิดขึ้น ทิ้งไว้เพียงความสงสัยในเหตุการณ์ว่าเป็นมาอย่างไรกันแน่ หรือว่าเกิดเหตุ เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด ลิมเปลี่ยนข้างมาถือหางฝั่งขั้วอำนาจเก่า โดยไม่เห็นความเป็นเพื่อนที่เคยมีกันมากับโบโนโบ แต่ถ้าจะมองกันแล้ว ลิมก็สนิมสนมกับเจ้าร็อกกี้และอาคิเลสมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพียงแต่ช่วงหลังนี้ห่างๆไป
และเมื่อโบโนโบ โผล่หน้ามาทีไร ก้มักจะมีเรื่องทะเลาะกันยกใหญ่ โดยมีเจ้าลิมอยู่คนละฝ่าย จนพอสรุปได้ว่า ปฏิบัติการที่มันคิดจะล้มบัลลังก์ สำเร็จเกือบทุกขั้นตอนแล้ว ยกเว้นเรื่องเดียวที่ทำให้มันล้มเหลวในงานนี้ คือ....
...การแปรพักตร์เปลี่ยนข้างของเพื่อนสนิทอย่างเจ้าลิม
และทำให้มันกลายเป็น ลิงกบฎ แทนที่จะเป็น ผู้ที่มาปฏิวัติ - ไม่รู้ว่าในฝูงจะคิดเหมือนกันกับผมหรือเปล่า?
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ไม่ค่อยเห็นหน้าของโบโนโบ เดินเผ่นพล่านไปมา อย่างเคย ต่างกับเจ้าลิมที่ทุกวันนี้ เดินสง่าผ่าเผย กับเจ้าร็อกกี้และ อาคิเลส ท่ามกลางตัวเมียและลูกเล็กเด็กแดงล้อมหน้าล้อมหลัง –ลิงน้อยยังคงเดินตามเจ้าร็อกกี้เป็นพรวนเหมือนเดิม....ด้วยมันอาจจะรู้ว่า ใครเป็นจ่าฝูง หรือว่า เป็นพ่อของมัน...นั้นยังตอบไม่ได้
และที่เริ่มเห็นบ่อยๆขึ้น คืการที่ร็อกกี้ จ่าฝูง เดินเข้าไปนั่งจับคู๋ เริ่มทำความสะอาดให้เจ้าลิม ก่อน แล้วเจ้าลิมก็ตอบแทนด้วยการเดินหนีไปเฉยๆ ...เหมือนมันจะบอกอะไรบางอย่าง?
อ้อ เกือบลืม เจ้าทรูแมน ลิงหนุ่มอีกตัวที่อาจคิดการณ์ใหญ่ เข้าร่วมทีมกับโบโนโบ เพื่อล้มบัลลังก์จ่าฝูง เพราะช่วงๆหลังๆ ก่อนเกิดเหตุนองเลือด ทรูแมนก็ดูกระด้างกระเดื่องอยู่ไม่น้อย หาเรื่องตัวอื่นไปทั่ว แต่เมื่อสุดท้ายแล้ว ปฏิบัติการไม่สำเร็จ กลายเป็นผู้แพ้ เมื่ออีกพวกเห็นหน้าทรูแมนทีไร เป็นต้องร้องฟ้องกัน แล้วก็วิ่งไล่ จนทรูแมนไมเป็นอันกินอันนอน วันๆแทบไม่เห็นหน้าเลย และนั่นคือผลของการเลือกข้างผิดของลิงหนุ่มด้อยประสบการณ์
และแล้วสถานการณ์โดยรวมก็เริ่มสงบ แน่นิ่ง และเชื่องช้า ทุกจังหวะก้าวเดินมีแต่ความเยือกเย็น
เพราะ...อุณหภูมิในป่าตอนนี้ ไม่เกิน 12 องศา สักวัน และมีแต่จะต่ำลงเรื่อยๆ ทั้งลิงและคน ต่างเผชิญกับความเหน็บหนาวไม่แพ้กัน
ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งใหย่ดตให้เห็นอีก มีเพียงเรื่องหึงหวงและเรื่องอยู่เรื่องกินเท่านั้น
แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่า ความเกรี้ยวกราดได้หมดไปจากกระแสเลือดอุ่นๆของเหล่าลิงหนุ่มๆแล้วหรือยัง หรือเป็นเพียงการลองเชิงในยกแรก ต่างกำลังไปซ่องสุมเพื่อกลับมาทวงหนี้แค้นอีกครั้ง
หรือทุกความรุนแรงเดือดดาลได้มลายหายไปหมดแล้ว ด้วยการข่มดับจากความยะเยือกเย็น...

“แก๊ก แก๊กๆๆๆ ...แก๊ก แก๊กๆๆๆ แก๊ก...แก๊กๆ แว้ด แว็ด”
เสียงเหล่านกแก๊กสนทนากันในยามใกล้ค่ำ ระรัว เร่งเร้า ในท่วงทำนองเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา ช่างสอดคล้องกับจังหวะการเคลื่อนตัวของฝูงลิงที่กำลังกระโดดตู้มๆต้ามๆ ทยอยกันข้ามร่องน้ำ โดยอาศัยกิ่งก้านต้นไทรใหญ่ที่แผ่สาขาไปรองรับการกระโดดได้เป็นอย่างดี และหากว่าเดินทางผ่านมาทางนี้ เพื่อเข้าต้นนอนทีไร  ก็จะต้องใช้บริการต้นไทรต้นนี้เสมอ
เจ้าลิม เดินไต่อยู่บนต้นไม้หน้าสุด โดยมีเจ้าร็อกกี้และลูกลิงอีกสามตัวตามหลังมาไม่ห่าง มันค่อยๆเดินสามสี่ก้าวพลิกใบไม้หาแมลงกิน แล้วก็หยุดนั่งสักพัก ใช้ใหล่กระทุ้งเอาอาหารที่อยู่ในถุงแก้มออกมาเคี้ยวกินทีหนึ่ง ค่อยเดินต่อไป
ค่ำนี้ลิมขึ้นต้นนอนเป็นตัวแรก ตามมาด้วยร็อกกี้ ส่วนพวกตัวเล็กๆยังคงเล่นกันอยู่รอบๆ ยังไม่ขึ้นต้นนอน
พอขึ้นไปบนต้นนอนได้ ลิมก็เดินตรงไปที่ปลายกิ่ง ก่อนที่จะเขย่าต้นไม้ (Tree shake) 3-4 ที เพื่อแสดงพละกำลังแห่งกล้ามเนื้อหนุ่ม แล้วจึงขยับเข้ามานั่งตรงกิ่งสามแพ่งที่นั่งได้สบายก้น แล้วสักพัก เจ้าร็อกกี้ก็เดินเข้ามาทักทายด้วยการบีบแขนกันและกัน (Touch body) พร้อมกับยิงฟันกระทบกัน (Teeth chatter)
แล้วร็อกกี้ก็เริ่มทำความสะอาดให้เจ้าลิม...

ปล. เวลาตอนนี้ 17.15 น เริ่มมืดแล้ว ... อุณหภูมิตอนนี้ ไม่รู้ แต่เริ่มเย็นลงมากแล้ว

 

 

 

 

 



12.ทหารแก่ไม่มีวันตาย เพียงแค่ค่อยๆจางหายไป

“ฟิ้ว ฟุ๊บ ฟั๊บ ฟั๊บ ….”
เสียงผลขนุนป่า(Artocarpus lakoocha) ลูกเท่ากำปั้นร่วงแหวกอากาศผ่านพุ่มใบหนาลงมาหลายชั้น ก่อนจะตกถึงพื้นดัง ปึ๊ก! สร้างความหวาดเสียวให้ผม ที่แม้นจะยืนอยู่ห่างจากต้น เพราะหากได้รับโชค หล่นใส่กบาล คงจำบ้านเลขที่ตัวเองไม่ได้หลายวัน
หลายลูกแหว่งนิดหน่อย ....หลายลูกเว้าหายไปเกินครึ่ง... ส่วนลูกที่ยังสมบูรณ์ก็มาก
การกินทิ้งกินขว้างของฝูงลิงบนเรือนยอดขนุนป่า  ทั้งที่มันยังไม่สุกเต็มที่ ทำให้ลิงหลายตัวในฝูงไม่ต้องลำบากปีนขึ้นไปร่วมวง โดยเฉพาะพวกตัวเมียลำดับสังคมต่ำและพวกตัวเล็กๆ ที่กลัวการโดนข่มเหงจากตัวผู้และตัวเมียที่ศักดิ์สูงกว่า เพียงแต่ตั้งตาคอยเก็บกิน ส่วนหลงเหลือที่ร่วงหล่นตุ๊บตั๊บลงมาจากเบื้องบน
เหมือนกับว่าบางครั้ง พวกลิงจะไม่ค่อยเชื่อสายตาตัวเอง ในการตัดสินว่าผลไม้ไหนสุกพอกินได้หรือยังดิบเกินไป ทำให้ต้องใช้วิธีกัดชิม ลูกไหนใช้ได้ก็กินต่อ ส่วนลูกไหนไม่ผ่านก็ปล่อยให้ร่วงลงมาสู้พื้นเบื้องล่าง ให้ผู้อื่นได้ใช้ประโยชน์ต่อไป ซึ่งการกัดกินในลักษณะอย่างนี้ จะพบเห็นได้ในผลไม้อีกหลายชนิด เช่น กระท้อน กระทุ่มบก มะไฟ และอีกมากมาย รวมทั้งขนุนป่า
ภาพของผลขนุนป่าที่เคยห้อยโตงเตงอยู่บนยอด แต่กลับมากลาดเกลื่อนกันบนพื้นแบบนี้ แล้วมีกลุ่มลิงคอยเลือกเก็บเลือกกิน ขวักไขว่ไปมา ทำให้ผมนึกถึงใครคนหนึ่งขึ้นมา, ไม่ใช่สิ , ต้องบอกว่า ลิงตัวหนึ่ง ถึงจะถูก
ด้วยเพราะแกเป็นลิงตัวผู้เต็มวัยตัวเดียวที่คอยเก็บกินผลไม้ที่หล่นอยู่ใต้ต้น ไม่ขึ้นไปร่วมสังฆกรรมกับพวกหนุ่มๆที่เอร้ดอร่อยกันอยู่บนเรือนยอด
จะด้วยประสบการณ์ เรี่ยวแรง หรืออะไรก็แล้วแต่ ลิงแก่ที่ฟันฟางไม่ค่อยมีและไม่ค่อยดี จะปรากฏกายในทีมงานที่คอยเก็บกินผลไม้อยู่ตามใต้ต้นเสมอ
และนั่นคือสิ่งที่เราพบเห็นได้บ่อยกับการดำเนินชีวิตของลิงอาวุโสของฝูงในช่วงท้ายของความเป็น-อยู่-คือ
ผมเคยคิดจะเขียนถึงแกหลายต่อหลายครั้ง เพราะด้วยความคุ้นเคย สนิทสนม-ไม่รู้ว่าแกจะสนิทสนมกับผมเหมือนกันหรือเปล่า และใกล้ชิด- ก็แกชอบลงมาเดินพื้นใกล้ๆผมเสมอ ทำให้ผมได้เห็นเรื่องราวชีวิตในแต่ละวันของแกมากมาย จนคิดไม่ตกว่าจะเขียนถึงแกในแง่มุมไหนดี เพราะมันเยอะเหลือเกินกับ เรื่องของแก
เหนือสิ่งอื่นใด ผมอยากจะเขียนถึงแก ในตอนที่แกยังเดินส่ายหางไปมาในฝูงอยู่ ไม่อยากให้เหมือนในอีกหลายตัว ที่เรื่องราวได้ถูกเขียนหลังจากที่ล้มหายตายจากกันไปแล้ว
แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ไม่ได้ลงมือเขียนสักที
แล้ววันหนึ่ง แกก็หายไปจากฝูง โดยผมไม่ได้ตั้งตัว
พังค์ (PUNK) ผู้จากไปไม่ลา ในวันวาเลนไทน์ ปีนี้ 2011
พังค์ หรือ ตาพังค์ หรือ ตาผัน ชื่อที่ผมชอบเรียกแกตามตัวย่อของชื่อสามตัวแรก ที่แต่ละตัวจะได้รับ เพื่อให้สะดวกในการจดบันทึก เช่น PUNK ก็เป็น PUN หรือ ACHILLES ก็เป็น ACH ซึ่งมันเกิดไปคล้องจ้องกับ PINKLE ซึ่งคือ PIN ที่ผมเรียกว่า ยายพิณ และทั้งคู่ดูเหมือนจะเป็นลิงอายุมากเหมือนกันด้วย จึงเป็น ตาผัน กับ ยายพิณ
พังค์เป็นลิงตัวผู้ ที่ล่วงเลยสภาพเต็มวัยมาแล้ว ขนสีเหลืองจาง มีจุดสังเกตให้จดจำง่ายๆคือ นิ้วกลางข้างขวาของแกจะงอไม่ได้ ทำให้เหมือนแกจะแจกกล้วยตัวอื่นตลอดเวลา และแกจะมีหางที่สั้นและขนเกรียนกว่าตัวผู้ตัวอื่นๆ
เมื่อผมมาทำงานแรกๆ ตาพังค์ยังคงกระฉับกระเฉง ดุดัน และอยู่ในกลุ่มผู้มีอำนาจกับจ่าฝูง
แต่เมื่อหลายอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งลำดับชั้นทางสังคม จังหวะชีวิตของแกก็เปลี่ยนไป
หลังจากลิงหนุ่มขึ้นมามีอำนาจ ผนวกกับอายุที่มากขึ้น ทำให้ ในช่วงสองปีหลังมานี้ ตาพังค์ดูจะลดบทบาทในฝูงลงไปมาก จากที่ไม่เคยพลาดในการร่วมวงวิวาท ก็ไม่ค่อยเห็นหน้าเห็นตาสักเท่าไหร่ เอาแต่นั่งเงียบๆ เคี้ยวอาหารที่อยู่ในถุงแก้มอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
เมื่อตอนเจ้าแว่นตาตายไป พังค์กับสปั้ด มักจะร่วมมือกัน ปะฉะดะ กับเจ้านาย ถึงแม้นจะเคยอยู่ฝ่ายเดียวกันมาก่อนก้ตาม จนเจ้านายทนไม่ได้ ต้องย้ายฝูงไป แต่จากนั้น ตาพังค์ก็มาร่วมมือกับพวกลิงหนุ่มข่มเหงสปั้ดเสียเอง จนสปั้ดก้อยู่ไม่ได้ ทำให้เหลือลิงอาวุโสในฝูงเพียงตัวเดียวคือตัวแกเอง
และก็เป็นเหมือนวิธีที่ต้องเกิดขึ้น เมื่อลิงหนุ่มที่ต้องการขึ้นไปอยู่ในลำดับสังคมที่สูงขึ้น ก็ต้องแสดงความแข็งแกร่งต่อลิงตัวอื่นๆ และตาพังค์ก็เป็นเป้าหมายที่จะใช้เป็นบันไดสำหรับลิงหนุ่มพวกนั้น
ถึงแม้นจะมีขนาดตัวใหญ่กว่า แต่หากพูดถึง ความรวดเร็ว พละกำลัง ความแข็งแกร่งและคมเขี้ยวแล้ว ตาพังค์ก็กลายเป็นฝ่ายแพ้ทันที ตั้งแต่ยังไม่ทันกางมุง และหลายต่อหลายครั้งที่การต่อสู้จบลง ตัวที่พ่ายแพ้และเจ็บหนักสุดก็หนีไม่พ้นตาพังค์ ซึ่งนั่นจะหมายถึงการถูกลดลำดับสังคมลงไปเรื่อยๆ
แต่การณ์กลับไม่เป็นอย่างนั้น
เพราะเจ้าร็อกกี้ กับเจ้ากล้ามโต อาคิเลส ผู้รั้งตำแหน่งเบอร์หนึ่งและเบอร์สองในฝูง ไม่ต้องการให้ตำแหน่งรองลงมาจากพวกมันเป็นลิงหนุ่ม ที่พร้อมจะก่อการล้มกระดานเหมือนที่มันเคยทำกับจ่าฝูงตัวก่อน หรืออย่างน้อยก็ไม่อยากให้ใครมากระด้างกระเดื่องใกล้ๆบัลลังก์
ดังนั้นทั้งสองจึงคอยสนับสนุน ปกป้องตาพังค์ และคอยถือหางเวลาที่มีใครมาทะเลาะกับแก เพื่อให้ตาพังค์ยังคงอยู่ในลำดับสูงในสังคมต่อจากพวกมัน และเป็นตำแหน่งกันชน ระหว่างผู้นำ กับเหล่าลิงหนุ่ม
ซึ่งการกระทำเช่นนี้ก็ช่วยให้ตาพังค์ดำเนินชีวิตไปได้อย่างราบรื่นเหมือนเดิม
จะมีบ้างที่ช่วงไหนอยู่ห่างไกลสายตาของผู้พิทักษ์ ตาพังค์มักจะโดนลองของ จนต้องร้องเสียงหลง ขี้แตกขี้แตน พร้อมกับแยกเขี้ยวกุดแหว่ง สีดำขู่กลับไป ขึงขังใส่กันสักพัก แล้วก็เลิกกันไป
แต่โดยรวมแล้ว สถานภาพของแกในฝูง ก็จะเป็นที่เข้าใจว่า ไม่มีพิษมีภัยต่อใคร
และเมื่อเวลาล่วงเลยไป ตาพังค์ก็กลายเป็น ผู้อาวุโสนอกระบบสังคมที่ชีวิตทุ่มเทเพื่อการกินเท่านั้น ไม่ใช่สถานะทางสังคมในฝูงเหมือนเดิม
ในแต่ละวัน แกจะใช้เวลาหมดไปกับการนั่งพักผ่อน มีบ่อยครั้งที่แกจะนั่งนิ่งๆอยู่กับที่เป็นเวลาเกือบชั่วโมง ดวงตาเดี๋ยวเหม่อลอยเดี๋ยวจับจ้องบางสิ่งบางอย่าง คล้ายครุ่นคิดอะไรอยู่ การหากินก็จะเน้นพวกใบของเถาวัลย์เป็นส่วนมาก ทั้งใบอ่อนใบแก่  และการทำความสะอาด(GROOMING) ซึ่งคู่ของแก ส่วนใหญ่จะเป็นลิงตัวเล็ก และที่เห็นเป็นประจำ คือ ซิมบ้า ZIMBA ลูกสาวของแก PIIMAI  ปีใหม่ และ MAESA เมษา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นลูกลิงตัวเมียที่มักจะเดินตามหลังแก เวลาไปไหนมาไหนทั้งนั้น นานๆครั้งถึงจะมีตัวอื่นๆเข้ามา
พูดถึงการทำความสะอาดให้กัน   ตาพังค์ถือว่าเป็นมือขั้นเทพในเรื่องนี้ แรกเริ่มแกจะมองหาเหยื่อ, ผมหมายถึงลูกลิงที่จะมาเป็นคู่ทำความสะอาดกับแก จากนั้นแกจะเดินเข้าไปหาด้วยท่าทางมีมิตรไมตรี แล้วก็เริ่มทำความสะอาดให้เจ้าตัวเล็กก่อน ด้วยความมีเมตตา แกทำยังไงรู้ไหมครับ แกสางขนให้ลิงน้อย 3 ที แล้วก็หยุด เอียงคอหันข้าง (GROOM PRESENT) เพื่อให้เจ้าตัวเล็กเริ่มทำความสะอาดให้แก สามทีที่แกทำนั้น แทบไม่ได้มองด้วยซ้ำไป แล้วก็ถึงคราวของลิงน้อยที่ต้องตอบแทนความมีน้ำใจของท่านผู้อาสุโสไปนานสองนาน, สุดยอด
หรือไม่ก็ตอนที่ขึ้นต้นนอน แกจะไปนั่งไปนอนขวางทางเดินที่ต้องมีตัวอื่นเดินผ่าน ลิงตัวใหญ่ไม่เท่าไหร่ แต่สำหรับตัวเล็ก ใครผ่านมาเป็นต้องเจอ 3 ที แลกกับ 30 นาที, คุ้มเกินคุ้ม
มาพูดถึงเรื่องการกินอยู่ของตาพังค์ ช่วงหลังๆมานี้ แกจะบริโภคใบไม้มากขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฟันของแกไม่ดี หรือว่าเรี่ยวแรงในการปีนต้นไม้ถดถอย ตรงไหนรกๆ มองเห็นยากๆ มีเถาวัลย์ มีเครือไม้รุงรัง มุดได้แกก็มุด ลอดได้แกก็ลอด หรือแม้แต่ไม่น่าลอดไม่น่ามุดแกก็สอดตัวเข้าไปนั่งรูดกินใบอ่อนใบแก่สารพัดเถาวัลย์ เคี้ยวจั๊บๆ ไม่เกรงใจคนเดินตามเลย
เช้าๆ ตาพังค์จะเป็นลิงตัวแรกที่เริ่มลงมาเดินบนพื้น กับพวกผม เดินพลิกใบไม้หาแมลง แมงมุมกิน ซึ่งทำให้แกกลายเป็นตัวช่วยในการทำงาน เมื่อมองหาลิงที่เป็นเป้าหมายไม่เจอ
แต่ก็ไม่ควรประมาทมวยแก่ ถึงแม้อายุจะมากแล้ว แต่การเดินบนพื้นนั้น หากคลาดสายตาเพียงเดี๋ยวเดียว ก็อาจมองหาหางสั้นๆเกรียนของแกไม่เจอ แม้นแกจะเดินไม่เร็ว แต่ก็ไม่ได้ช้าอย่างที่คิด หายได้ในพริบตา
ปีก่อนที่เครือสะบ้าลิง Mucuna macrocarpa ติดฝัก ฝูงลิงจะไปติดแง็กอยู่ทางทิศใต้ นอนที่TmoiSS แล้วก้ข้ามร่องน้ำTW ไปกินเม็ดแก่สะบ้าลิง แล้วก็กลับมานอนที่เดิม เป็นอย่างนั้นเกือบเดือน
ลิงจะเลือกเล็มจากขั้วเม็ดแก่ของสะบ้าลิงก่อน จากนั้นก็ค่อยๆพยายามกัดแทะเพื่อกินส่วนที่อยู่ในเม็ด อ้อ ลืมบอกไปครับ เม็ดสะบ้าลิงนั้นมีขนาดเท่าคุ๊กกี้สองก้อน แต่ความแข็งนั้นน้องๆก้อนหิน ผมหมายถึงแข็งมาก โดยแต่ละตัวจะแงะเม็ดออกจากฝัก หรือเก็บตามพื้น กัดเล็มดูว่าแข็งเกินไปไหม จากนั้นก็เก็บเข้าถุงแก้มไว้ แล้วก็มองหาเม็ดใหม่ต่อไป
เมื่อเก็บได้เยอะหรือหนักถ่วงถุงแก้มจนพอใจ ก็จะเลิกเก็บแล้วไปหาทำเลที่นั่งดีๆ ก่อนจะเริ่มพิจารณากัดแทะ เม็ดสะบ้าลิง โดยใช้ฟันกรามช่วยขบให้แตก ช่วงนี้เวลาเดินไปไหนมาไหนจะมีเสียงกรุ๊กๆ จากเม็ดที่กระทบกันในถุงแก้ม
และนั่นทำให้ตาพังค์ที่พยายามขบกัดเม็ดสะบ้าลิงตลอดเวลา ด้วยฟันฟางที่ไม่ค่อยดี มีคราบสีดำไหลย้อยออกมาจากมุมปากด้านซ้ายลงไปถึงคาง อันเกิดจากน้ำลายและสีของเปลือกเม็ดสะบ้าลิงที่แกขบเคี้ยวทุกวี่วัน
ผมไม่รู้ว่าจะตลกหรือเศร้าดีกับภาพที่เห็น เพราะมันทำให้ผมนึกถึงคุณตาที่เคี้ยวหมากอยู่บ้านเช่นกัน
เมื่ออายุมากขึ้น พฤติกรรมหลายอย่างของสิ่งมีชีวิตก็เปลี่ยนไป จากที่เคยทำได้ก็ทำไม่ได้ จากที่เคยเร็วก็ช้า จากที่ไม่เคยมีไม่เคยเกิด ก็โผล่ออกมาให้เห็น
เห็นกันชัดๆ กับตาพังค์ที่แต่ก่อน ไปไหนมาไหน คล่องแคล่ว ว่องไว มาเดี๋ยวนี้ เดินสามก้าวหยุดนั่งพักทีหนึ่ง ๆ เวลาไต่ขึ้นไต่ลง ก็แช่มช้อย ยิ่งเวลาจะกระโดดสักที นิ่งคิดแล้วคิดอีก กว่าจะกระโดดได้ และถ้าคำนวนแล้วไม่แน่ใจ แกก็จะขยับมากิ่งที่ต่ำกว่าแต่ปลอดภัยกว่า หรือไม่ก็เดินลงพื้นไปเลย
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมเห็นตาพังค์ กำลังจดๆจ้องๆ จะกระโดดจากต้นหนึ่งไปยังต้นหนึ่ง ที่ห่างและสูงไม่ใช่เล่น ก่อนหน้าที่ตาพังค์จะมาถึงนั้น ลิงหลายตัวได้กระโดดข้ามไปจากตรงนั้นเยอะแล้ว พวกลิงชอบใช้เส้นทางเดียวกันบ่อยๆ
หลังจากที่แกหยุดนิ่ง ไตร่ตรองแล้ว ก็เห็นว่า การกระโดดด้วยการยืนเฉยๆ คงจะไม่มีแรงเพียงพอที่จะส่งร่างแกข้ามไปถึงที่หมายได้ ว่าแล้ว แกก็เดินถอยหลังไปสี่ห้าก้าว เพื่อใช้เพิ่มแรงในการกระโดด ซึ่งเป็นเรื่องที่เห็นเป็นประจำและถูกต้องตามหลักการ
แต่หลังจากที่แกเร่งเครื่องมาถึงปลายสุดของกิ่ง แกก็ทำให้ผมสงสัยในความคิดของแก เมื่อแกมาขย่มกิ่งไม้สามสี่ที คล้ายกับเวลาเราเด้งบนสปริงบอร์ด เพื่อเพิ่มแรงในการกระโดดให้สูงขึ้น ไม่ได้กระโจนออกไปด้วยแรงส่งที่เร่งมา
แต่แล้วตาพังค์ก็หยุดขย่มกิ่ง เมื่อเห็นว่า แรงขย่มคงไม่ช่วยอะไร แกก็กลับไปเร่งเครื่องอย่างนั้นอีก และก็มาหยุดขย่มเหมือนเดิมอีก สามรอบ ใช่ครับ สามรอบ เร่งเครื่องมาแล้วมาขย่ม แล้วไม่กระโดด
สุดท้ายแกก็ไต่ลงมาต่ำกว่าเดิม แล้วเดินตามเถาวัลย์ ยอมเหนื่อยเพิ่มขึ้นแต่ปลอดภัยกว่าที่จะเหินเวหาลงมา
เรื่องเก็บอาหารกินใต้ต้นก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องพูดถึง เพราะตามปรกติ ลิงตัวผู้จะขึ้นไปรวมกันอยู่บนเรือนยอดเพื่อกินอาหาร จะมีตัวเมียบ้างก็เป็นพวกที่ลำดับชั้นสังคมสูง นอกนั้นต้องคอยให้เค้ากินกันเสร็จก่อนจึงจะมีสิทธิ์ หรือไม่ก็หาเก็บตามพื้นกิน แต่ตาพังค์กลับเป็นลิงตัวผู้ตัวใหญ่ตัวเดียวที่คอยเก็บกินอยู่ด้านล่าง
จะไปเปลืองพลังงานในการปีนขึ้นไปทำไม แถมดีไม่ดี อาจโดนไล่ที่จากพวกลิงหนุ่มอื่นๆ ให้ต้องหนีตายเหนื่อยอีก สู้หาเก็บกินตามพื้นไม่ดีกว่าหรือ
 ได้กินน้อย แต่ก็ใช้เรี่ยวแรงน้อย ...มันก็สมดุลกันดี

 

 

 



13.ทหารแก่ไม่มีวันตาย เพียงแค่ค่อยๆจางหายไป(2)


อีกไม่ถึงสามสิบนาทีก็แปดโมงเช้าแล้ว แต่ฝูงลิงยังคงไม่เคลื่อนย้ายออกจากต้นนอน Tnon SS เลย มีบางตัวที่ขยับจากกิ่งที่ใช้นอนมาอยู่อีกฝั่งของต้น ที่มีกิ่งก้านสาขาใหญ่เหยียดตรง และที่สำคัญ สามารถมองเห็นได้ชัดขึ้น
แต่ลิงส่วนมากยังคงปักหลัก เกาะกลุ่ม กอดกัน เพื่อสร้างความอบอุ่นให้กันและกัน
ในเช้าวันใหม่ที่สายฝนโปรยปรายลงมาทั้งคืน
พายุนกเตน เข้าที่ชายฝั่งเวียดนามมาสองวันแล้ว ส่วนที่นี้ได้รับอิทธิพลเพียงแค่หางๆเท่านั้น ก็ยังเปียกปอนเท่านี้ หากว่าเป็นตัวพายุมาเองจะเละเทะขนาดไหน ไม่อาจเดาได้และไม่อยากเดา
ดวงอาทิตย์ทำท่าเหมือนจะแหวกม่านฟ้าครึ้มออกมาให้แสงสว่าง แต่คงต้องเอาใจช่วยอีกเยอะกว่าจะสำเร็จ
จากที่สังเกตการณ์อยู่นาน ผมยังไม่เห็นลิงตัวผู้ตัวไหนตื่นมาเลย มีเพียงลิงตัวเมียและพวกตัวเล็กๆเท่านั้นที่เขยื้อนร่างตะคุ่มๆไปมาบนกิ่งไทร
มันน่าจะเป็นไปได้ทั้งสองทาง สำหรับการหาเหตุผลมาสนับสนุนการนอนตื่นสาย หนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า ลืมตามาแล้ว อากาศดี น่านอนต่อสักหน่อย หรือ จะออกตัวว่า อากาศไม่สดชื่นแจ่มใส จึงไม่อยากทำอะไร นอนต่อดีกว่า
แต่ทั้งหมดทั้งปวง ผมว่าต้องมีความขี้เกียจพ่วงอยู่ด้วย ไม่มากก็น้อย
ช่วงนี้การเก็บข้อมูลพฤติกรรมตัวผู้ ค่อนข้างต้องใช้พลังงานมากหน่อย- ในการเดินตามหาลิงเป้าหมาย เพราะในแต่ละวัน ไม่รู้ว่าแต่ละหน่อกระจัดกระจายไปไหนกันบ้าง จะมีก็แต่ขาใหญ่สองตัว เจ้าร็อกกี้ (Rocky) และเจ้าอาคิเลส(Achilles) เท่านั้นที่วนเวียนให้เห็นหน้าบ่อยๆ ส่วนตัวอื่น นานจึงจะเห็นที
ไม่อยากบอกว่าเมื่อวานทั้งวันผมเห็นลิงตัวผู้เต็มวัยเพียงสามตัวเท่านั้น คือ เจ้าร็อกกี้ อาคิเลส และบรูโน ส่วนตัวอื่นไม่เห็นหน้าเห็นหนวดเลย ยิ่งเจ้า ช้าง (Chang) กับ วอลเลส (Wallace) นี่ยิ่งไม่ต้องถามถึง ไม่เห็นมานานแล้ว
แม้นว่าการเก็บข้อมูลจะพยายามให้กระจายกันในกลุ่มตัวผู้ แต่ช่วงนี้ ดูมันจะกระจุกอยู่เพียงสองสามตัวเท่านั้น พยายามเดินวนหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอใครอื่น เห็นแต่หน้าเดิมๆ  ก็ได้แต่บอกกับตัวเองว่า ทำตัวเดิมนี้แหละ
“............กำขี้ดีกว่ากำตด.........”
ผมนั่งมองดูรายชื่อลิงตัวผู้ที่ถูกขีดฆ่าออกเมื่อทำเสร็จแล้วในแต่ละช่วงเวลา เราจะแบ่งเวลาเป็น 6 ช่วงในหนึ่งวัน โดยเริ่มตั้งแต่ หกโมงเช้า ถึง หกโมงเย็น แล้วเราจะมีรายชื่อลิงเรียงกันลงมาด้วยการสุ่ม เพื่อให้มีการคละกันในการเก็บข้อมูล
ช่วงที่ 1 และ ช่วงที่ 6 เป็นช่วงที่เว้นว่างจากการขีดฆ่ามากสุด เพราะเป็นช่วงที่ลิงอยู่บนต้นนอน ตื่นสายบ้าง เข้านอนเร็วบ้าง อยู่บนยอดนั้น วิสัยทัศน์ไม่ค่อยขัดเจนนัก
เหมือนอย่างเช่นวันนี้ ผมคงจะผ่านช่วงที่ 1 ไป โดยไม่ได้ขีดใครออกสักตัว, เยี่ยม!
งั้นอยู่ว่างๆ รอลิงออกจากต้นนอน ผมจะเล่าเรื่องตาพังค์ให้ฟังต่อดีกว่า
ก็อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่า ตาพังค์ชอบที่จะลบงมาเดินบนพื้นมากกว่าที่จะไต่อยู่บนต้นไม้ ทำให้เวลามีทีมงานสารคดี มาถ่ายทำเรื่องราวเกี่ยวกับฝูงสตั้มปี้ ตาพังค์มักจะได้เป็นดารานำเสมอ ส่วนงานถ่ายแบบ- ผมหมายถึงถ่ายรูป แกก็จะไม่เขินกล้องนัก นั่งโพส์ตท่าให้ถ่ายกันจนหนำใจตากล้อง โยแกจะมีอาการเกร็งบ้างนิดหน่อยในช่วงแรกๆ ด้วยความแปลกหน้าหรืออะไรก็แล้วแต่ แกจะคอยกระพริบตาบ่อยๆพร้อมกับเบือนหน้าหนี หรือบางครั้งก็นั่งหันหลังให้ไปเลย แต่ไม่วายแอบมองด้วยหางตาอยู่ จนแน่ใจว่า ไม่มีอันตรายใดใดจะเกิดขึ้นกับแก แกจึงจะปล่อยตัวตามสบาย
อยากรู้ไหมครับว่า ตากล้องสามารถเข้าใกล้ตาพังค์ได้แค่ไหน? ...ได้มาก จนคุณคิดไม่ถึงเลยล่ะครับ!
เชื่อไหมครับว่า ทุกครั้งที่มีแขกเข้ามาเยี่ยมฝูงสตั้มปี้ เหมือนมันจะรู้ว่า ต้องทำตัวอย่างไร เพราะจากที่เคยเดินเท้าไม่เปื้อนดินมาหลายวัน พอถึงวันงาน ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ลงมาเดินสวนสนาม เผ่นผล่านกันเต็มพื้นไปหมด สงสัยอยากจะดัง
แล้ววันหนึ่งขณะที่ฝูงลิงกำลัง ลาดตระเวนตามพื้นดิน หากินแมลง และเมล็ดแก่ของผลไม้สักอย่างอยู่ ก็มีเสียงดังขึ้น
“ฟ้าวว............ววว.. ครื้นนนน..นน.”
เครื่องบินไอพ่นนั่นเอง!  ที่บินผ่านป่า พร้อมกับเสียงเหมือนฟ้าจะขาด
และนั่นทำให้พวกลิงที่กำลังหากินอยู่บนพื้น ร้องหวีดแว้ด เตือนภัย แล้วกระโดดขึ้นไปเกาะแน่นอยู่บนต้นไม้ใกล้ตัว ด้วยความตกใจ และแน่นิ่งอยู่สักพักเพื่อดูสถานการณ์
เหลือเพียงตาพังค์ตัวเดียวเท่านั้นที่ยังคงนั่งอยู่บนขอนตะเคียนตายวาก เคี้ยวอะไรบางอย่าง ด้วยท่าทางไม่สะทกสะท้านต่อเสียงมฤตยูที่เพิ่งเกิดขึ้น
ตาพังค์มองดูลิงตัวอื่นๆที่อยู่บนต้นไม้ ด้วยความแปลกใจในพฤติกรรม
แต่จะด้วยประสบการณ์ที่คร่ำหวอดอยู่ในป่ามานานของแก อาจจะบอกได้ว่า เสียงมฤตยูนั้น ไม่มีอันตรายใดใด หรือ จะด้วยประสิทธิภาพในการรับฟังของแกที่ลดลงต่ำ จนไม่ได้ยินเสียงนั้น
แกจึงได้นั่งอยู่เฉยๆ ไม่มีท่าทีสนองตอบใดใด – ผมไม่แน่ใจนัก
ช่างเถอะครับ ยังไง แกก็เก๋า ในสายตาผมก็แล้วกัน
อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะครับ ลองเปลี่ยนมาฟังเรื่องอย่างว่าของตาพังค์หน่อยไหม, อยากนำเสนอมาก
ก็ขนาดหนังอย่างว่ายังมีแบบ 3 มิติแล้ว มาฟังเรื่องอย่างว่าของลิงหน่อยจะเป็นไร, เกี่ยวกันไหมเนี่ย
ก่อนที่ผมจะเข้ามาทำงาน ผมไม่รู้ได้ว่าตาพังค์เคยรุ่วงเรืองจนถึงขีดสุดด้วยการเป็นจ่าฝูงหรือเปล่า แต่ในช่วงแรกๆ ตาพังค์ก็ยังคงเป็นลิงในลำดับต้นๆของชั้นสังคมอยู่
และแม้นจะไม่ได้เป็นจ่าฝูงหรือรองจ่าฝูง แต่ตาพังค์ก็มีความสามารถหาโอกาสฝากฝังเลือดเนื้อเชื้อไขให้กับ สกาเล็ต (Scarlet) จนเกิดเป็น ลูกสาวให้แกหนึ่งตัว คือ ซิมบ้า ซึ่งนับว่าแกไม่ธรรมดา
นั้นเป็นเรื่องสมัยเก่าก่อน เพราะหลังจากการเปลี่ยนแปลงในชีวิตเกิดขึ้น หลายอย่างก็เปลี่ยนไป จากที่เคยได้เลือก ได้มีเวลาสุขสมอย่างเต็มอิ่ม มาตอนหลัง การปฎิบัติกามกิจไม่ได้รื่นรมย์และลุล่วงเหมือนเคยอีกแล้ว และมันอาจจะเกี่ยวข้องกับอายุที่มากขึ้นของแกด้วยเช่นกัน
จากที่เคยเดินตามตื้อตามจีบ เป็นวันๆเพื่อให้ได้จ้ำจี้ ตาพังค์ก้เปลี่ยนยุทธวิธี มาเป็นการดักรอทีเผลอตามที่ต่างๆ ที่จะมีลิงตัวเมียเดินผ่านมา แล้วก็ใช้ความเป็นหนุ่มแน่นที่ยังหลงเหลือ บังคับ หรือขอร้องที่จะมีอะไรกับสาวๆ และส่วนใหญ่ก็จะยอมให้แกอย่างราบรื่น
จะด้วยความเคารพ...หรือความสงสาร...หรือความต้องการร่วมด้วย ...ก็แล้วแต่
ไม่มีการเกี้ยวพาราสี ไม่มีการเชิญชวน ไม่มีการเล่นตัว ไม่มีการหยอกล้อ… ระหว่างทาง
มีเพียงจุดหมายปลายทางเท่านั้น ที่ต่างฝ่ายต่างต้องการ
...เพื่อให้จบๆไป
ปรกติลิงตัวผู้จะขึ้นขี่ลิงตัวเมีย แล้วขยับบั้นท้ายอยู่เกือบครึ่งนาที(เหมือนท่าทางที่เหล่าเพื่อนรักแสนรู้อยู่เฝ้าบ้านใช้กัน แต่พวกลิงตัวผู้จะเอาขาขึ้นไปเหยียบและล็อกบนขาของตัวเมีย แทนการยืนอยู่บนพื้น) แล้วจะหยุดนิ่งกดแช่ไว้ เพื่อปล่อยหน่อเชื้อสักพัก ก่อนจะแยกออกจากกัน ซึ่งก็มีทั้งแบบที่กระโจนออกมาและแบบถอยออกมาอย่างนุ่มนวล ส่วนที่โดดหนีระหว่างปฏิบัติกามก็บ่อย
หลายครั้งที่พอเสร็จกิจ ต่างฝ่ายต่างก็รีบเก็บกินส่วนที่หลงเหลือออกมา จากการหลั่งไหล
จนบางครั้งผมไม่แน่ใจว่า ที่ลิงสองตัวมีอะไรกัน เพื่อจุดประสงค์ใดกันแน่
แล้วทำไปทำมา ตาพังค์ก็เริ่มลดจำนวนเวลาในปฏิบัติกามลงเรื่อยๆ บางครั้งผมเห็นแกจะเริ่มขยับเอวหลังจากขึ้นไปขี่หลังตัวเมีย ผมก้มลงไปจดบันทึกเวลาเริ่ม พอเงยหน้าขึ้นมา แกกลับเสร้จสิ้นภารกิจ ลงมานั่งทำความสะอาดเจ้าหนูของแก เก็บกวาดอาหารเสริมกินอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนลิงตัวเมียจะรู้ตัวหรือเปล่า ว่าแกขึ้นไปขี่ทำไม , ผมสงสัยจัง
...นกกระจอกยังไม่ทันได้กินน้ำเลย โอ้.....ตาพังค์ สามวินาที
และเมื่อตาพังค์อยู่ในลำดับชั้นสังคมที่ต่ำกว่า มีหลายครั้ง ที่แกกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกับสาวๆอยู่ เจ้ากล้ามโต อาคิเลส จะเข้ามาขัดจังหวะและแย่งสาวเจ้าไปจากหว่างขา ก่อนจะแสดงบทรักของมัน ต่อหน้าต่อตาแกอย่างโจ๋งครึ่ม โดยไม่เกรงอกเกรงใจ
มาช่วงหลัง ในห้วงเวลาที่ตาพังค์เริ่มเรี่ยวแรงหดหาย แกก็ไม่สนใจที่จะไปวุ่นวายเรื่องอย่างว่า ถึงแม้นกิจกามนั้น จะอยู่ใกล้เพียงใดก็ตาม ด้วยไม่อยากเปลืองพลังงานและเจ็บเนื้อเจ็บตัว
เพราะปรกติ เมื่อมีลิงตัวไหนเห็นภาพบาดตาบาดใจอย่างว่านั้น เป็นต้องกรีดร้องไม่พอใจเป็นอย่างน้อย และพยายามเข้าไปรบกวนกิจกรรมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
แต่ยามนี้ ตาพังค์ ได้แต่นั่งหันหลังให้ .....ไม่มอง เพื่อไม่ให้เห็น ไม่ฟัง เพื่อไม่ให้ได้ยิน
ด้วยความที่ตาพังค์ชอบเดินอยู่บนพื้นมากกว่าจะอยู่บนต้นไม้ ทุกครั้งที่แกเงยหน้ามองดูลิงตัวเมียที่ไต่อยู่ตามกิ่งไม้ด้านบน พร้อมกับยิงฟันดำๆให้สาวๆ ผมมักจะแซวแก (แน่นอนแกไม่รู้ว่าผมแซวแก)
“แหม ที่ลงมาเดินบนพื้นมีเหตุผลอย่างนี้นี่เอง ลงมาส่องดู กกน ของสาวๆ ให้ชุ่มช่ำหัวใจใช่ไหม”
พวกลิงตัวเมียชอบใส่ กกน สีแดง นั้นคือ ข้อเท็จจริงที่ผมได้รับรู้เมื่อเงยหน้ามองดู ร่วมกับตาพังค์ 
แล้วแกก็จะมักรู้ด้วยว่า สาวๆจะเดินลงมาจากต้นไม้ตรงไหน แกจะไปรออยู่ตรงนั้นเพื่อใครจะใจดีกับแก, สักนิด
บางครั้งตาพังค์ก็ไม่ได้ขึ้นขี่ลิงตัวเมียหรอกครับ แกเพียงของัดแงะหาดูอาหารเสริมที่อาจจะเหลือติดค้างอยู่ตรงจุดยุทธศาสตร์เท่านั้น ซึ่งบางตัวปกก็จิ้มดูเฉยๆ ก็ปล่อยไป
ผมเดาว่าลิงตัวเมียทุกตัว คงจะผ่านการตรวจคุณภาพจากนิ้วของตาพังค์มาหมดแล้ว
อืม พูดเรื่องลิงตัวเมียกับตาพังค์แล้ว ทำให้ผมอยากจะบอกความคิดหนึ่งที่ผมเชื่อ แม้นว่าผมจะเชื่ออย่างนี้คนเดียว ว่า ตาพังค์ น่าจะเป็นพ่อของ เพ็ตเชส Patches ที่เป็น เบอร์หนึ่งของพวกลิงตัวเมีย เพราะอะไร?
เพราะหลายต่อหลายครั้ง ที่ผมเห็ฯตาพังค์โดนรังแกจากลิงหนุ่มแล้ว เพ็ตเชส จะเข้ามาช่วย ด้วยเสียงหวีดร้อง Fear scream หรือ วิ่งไล่ Chase ขัดจังหวะไว้ รอให้ตัวอื่นๆมาช่วยอีกที เพราะด้วยแรงเธอและตาพังค์คงจะต้านทานไม่ไหว เดี๋ยวเดียว เจ้าร็อกกี้ หรือ เจ้าอาคิเลส ก็จะมาถึงที่เกิดเหตุ เข้ามาช่วย เธอและตาพังค์ ให้ปลอดภัย
อีกทั้งการจับคู่ทำความสะอาดให้ตาพังค์ ที่ผมไม่ค่อยเห็นลิงตัวเมียตัวไหนมาสนใจแกนัก นอกจากว่าลิงตัวนั้นจะได้ร่วมกิจกามกันกับแกมา แต่เพ็ตเชส ไม่ใช่
มันอาจจะเป็นอย่างที่ผมคิด หรือ
อาจจะเป็นเพียง ความเมตตาจาก หญิงสูงศักดิ์ ต่อ ชายสูงวัย เพียงเท่านั้น ก็เป็นได้
การนั่งบันทึกพฤติกรรมของตาพังค์ ที่เอาแต่ นั่งกรอกตาไปมาอยู่เฉยๆ เกาสีข้างบ้างนานๆที บางคราวก็น่าเบื่อ แต่ในความน่าเบื่อ ก็แฝงไปด้วยการผ่อนพัก พักผ่อนจากการไล่ตามความโกลาหลในพฤติกรรมของลิงหนุ่มที่ขยันทำนั่นทำนี่บนเรือนยอด ให้จดบันทึกแทบไม่ทัน
การเดินดุ่มไปตามพุ่มไม้และนั่งนิ่งๆอยู่บนขอนไม้ต่ำๆของตาพังค์ ทำให้ผมได้เห็นภาพ
ภาพของการปล่อยวาง ในสิ่งที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของชีวิต
จากเวลาที่ผันผ่าน จากคืนวันที่เคลื่อนคล้อย จากฤดูกาลที่เวียนวน….ล้วนไม่มีอะไรแน่นอน
บางครั้งการอยู่เฉยๆก็ให้ความสุขมากกว่าที่คิด
หน้าฝนปีนี้ คงไม่มีใครอีกแล้ว จะโผล่พรวดพราดออกมาจากพุ่มไม้ ด้วยร่างเปียกโชก ให้ผมตกใจ จนสบถคำหยาบออกมา
หน้าหนาวปีนี้ คงไม่มีใครอีกแล้ว มาคอยแหงนหน้ามอง กกน ลิงตัวเมียกับผม คงต้องเลิกพฤติกรรมดังกล่าวแล้ว
หน้าฝนปีนี้ คงไม่มีใครอีกแล้ว มาเดินตามพื้น เป็นเพื่อน ระหว่างเดินตามหาลิงที่หายไป หลังจากฝนเทลงมา
หน้าหนาวปีนี้ คงไม่มีใครอีกแล้ว ต้องให้ลุ้นว่า จะใช้เวลาร่วมกิจกามนานเกินกว่าสามวินาทีไหม
ไม่ว่าหน้าไหน ก็ไม่มีหน้าไหน ที่จะมาแทน หน้าทหารแก่ ผู้ชอบลาดตระเวนพื้น อย่างตาพังค์ได้
เพราะตาพังค์ แกไม่มากเรื่อง ...แต่เรื่องแกมาก
การหายตัวไปของแก ไม่ได้ทำให้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวแก ถูกลบออกไปจากความทรงจำทันที
ก็เหมือนชื่อเรื่อง...... ทหารแก่ไม่มีวันตาย มีแต่ค่อยๆจางหายไป




14.ข่าวดีกับข่าวร้าย

ผมมีข่าวดีกับข่าวร้าย คุณอยากฟังข่าวไหนก่อน?
แต่ผมว่าฟังข่าวดีก่อนไหม เผื่อทำให้หัวใจพองโตและมองว่าข่าวร้ายที่จะได้ยินเป็นเรื่องไม่ร้ายแรงอย่างที่ควรจะเป็น เพราะถ้าหากฟังข่าวร้ายก่อน อาจจะไม่มีกระจิตกระใจและไม่มีเรี่ยวมีแรงที่จะฟังข่าวดี ก็เป็นได้
เอาหล่ะ ข่าวดี คือ ลิงกลุ่มใหม่ที่ติดตาม ท่าทางจะคุ้นเคยกับพวกเรา มากแล้ว เหลือเพียงอีกไม่นานเกินรอ ขั้นตอนทำให้ลิงฝูงนี้เชื่องและคุ้นเคยกับการติดตามของทีมวิจัยก็คงจะเสร็จสมบูรณ์ เพราะเมื่อวานตินสายๆ ลิงลงมาเดินบนพื้นกันอย่างไม่สะทกสะท้าน โดยเฉพาะพวกตัวผู้เต็มวัยและก็มีหันร้องขู่บ้างแต่ก็ไม่มากมายอะไร ส่วนตัวเมียนั้นยังคงไม่ลงมาเปื้อนดิน แต่ก็อยู่ในระดับต่ำๆ พวกตัวเล็กๆหลายตัวเริ่มนั่งนิ่ง ไม่สนใจที่จะรีบเร่งกระโจนหนีอย่างเคย
และแม้นว่าจะมองหาลิงแต่ละตัวได้ยากในช่วงนี้ แต่เหตุผลไม่ใช่เพราะว่าลิงหนีหายไปไหน กลับเป็นเพราะว่าในหน้าร้อน ลิงจะพักผ่อนระหว่างวันมากขึ้น ต่างก้แยกย้ายกันไปหามุมสงบ หลับนอน ผ่อนกายา ตามคาคบหลบแสงแดดและหลบสายตาผมไปด้วยในตัว
ผมตามลิงแล้วลิงไม่หายมาอาทิตย์กว่าๆแล้ว แถมวันนี้ลิงยังลงมาเดินบนพื้นใกล้ๆอีกด้วย
ใกล้แล้วสินะ กับความสำเร็จขั้นแรกอันเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่คำตอบในงานวิจัยอีกมากมาย
กลับมาเรื่องข่าวที่จะบอกเล่าดีกว่า สำหรับข่าวร้ายที่มี
แต่จะว่าไปจริงๆแล้วก็ไม่ใช่อยู่ในประเภทของข่าวร้ายซะทีเดียว ควรจะเรียกว่า ข่าวโหดร้าย เสียมากกว่า
กับเหตุการณ์สยองขวัญสั่นประสาท ที่ผมไม่เคยพบไม่เคยเห็นมาก่อน ตั้งแต่มาเดินตามก้นลิงวอกภูเขา
หลายคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาในธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นได้เสมอ ผู้ที่แข็งแรงกว่าย่อมเป็นผู้อยู่รอด
แต่ถึงอย่างไร ผมคนหนึ่งล่ะที่มองว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นอะไรที่โหดร้ายมากและไม่ใช่เรื่องธรรมดา ไม่ควรเอามาทำเป็นเยี่ยงอย่าง แต่ควรนำตัวอย่างมาศึกษาในแวดวงสังคม, ในสังคมของลิงวอกภูเขา
เพราะอะไรเหตุการณ์อย่างนี้จึงเกิดขึ้น?
16:30 น เวลาโดยประมาณ
หลังจากวนเวียนขึ้นๆลงๆต้นไทรผลดกตั้งแต่เที่ยง และนอนหลับพักผ่อนได้ตัวละ 2-3 ตื่น เมื่อแดดเริ่มจืดจางความเจิดจ้า ก้ถึงเวลาที่ฝุงลิงต้องเคลื่อนคาราวาน เพื่อมุ่งหน้าไปสู่ต้นนอนที่หมายปองเอาไว้สำหรับเย็นนี้แล้ว
เมื่อมองทิศทางและระยะเวลาที่เหลือแล้ว เย็นนี้ฝูงลิงคงไม่บ้าระห่ำวิ่งพล่านข้ามถนนไปหาที่หลับที่นอนฝั่งทิศใต้ของทางลาดยางเป็นแน่ คงจะดับเคื่องจอดพักกายพักใจกันที่ ต้นนอน ThokSS เหมือนอย่างเคย
สองวันติดต่อกันแล้วที่ฝูงลิง ดิ เอาเทอร์ (The other) เลือกใช้บริการต้นนอนที่อยู่ใกล้กับถนนลาดยาง ตรงข้ามอนุสรณ์สถาน ตอนเช้าเพียงจอดรถแล้วเดินขึ้นไปยืนมองจากอนุสรณ์สถาน แค่นั้นก็สามารถเห็นกลุ่มลิงบนต้นนอนแล้ว
สบายแฮคนมากะเช้าเหลือเกิน
รอบบริเวณต้นนอนต้นนี้ มีข้อดีหลายอย่าง ทั้งสำหรับลิงและคน เพราะ มีต้นไทรผลสุกอย่างน้อย 3 ต้น อยู่ไม่ไกล ให้เติมความอิ่มท้องได้ไม่ไม่ยั้ง มีเครือเถาวัลย์ที่ออกผลให้เลือกอีก 3 จุด ทั้งที่มีใบรูปหัวใจขนาดใหญ่ ผลเท่าถั่วเขียวเป็นพุ่ม ผลจะเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีแดงเมื่อสุก และอีกชนิดที่ใบคล้ายใบมะขาม ผลคล้ายผักถั่วแบนๆมี 2-3 เมล็ด สีเขียวอ่อน ต้องใช้สมาธิในการกินคล้ายกับการกินผลลูบลีบ อย่างไงอย่างงั้น
อีกมั้งยังมีต้นไม้หลายต้นที่มีกิ่งก้านใหญ่ไว้ให้หลบแดดหลับนอนหรือผ่อนพักเอาแรง
ที่ว่ามานั้นก็ถือว่าเป็นข้อดีของคนเช่นกัน ในแง่ที่ไม่ต้องเดินทางมากมายในการทำงาน แต่ที่ดีเด่นและถูกใจกว่าก็คือ พื้นที่เป็นที่ราบ เรียบได้ใจ ทำให้เดินตามดูพฤติกรรมต่างๆได้สะดวก ไม่ต้องปีนเขาลงห้วย เหมือนพื้นที่ทางใต้ของถนน และที่สำคัญคือ อยู่ใกล้ถนน หนทางกลับบ้านนั่นเอง
แต่ก็มีข้อเสีย ซึ่งเป็นเรื่องรบกวนจิตใจในการทำงานอย่างมาก คือ ทั่วบริเวณจะปกคลุมไปด้วยป่าไผ่ ที่แผ่กิ่งและใบ บดบังทัศนวิสัยในการมองเห็นลิง แทบทุกเหลี่ยมมุม
และแล้วก็ถึงเวลา มุดป่าไผ่หารักแท้- อ้าวไม่ใช่, ตามฝูงลิงที่ทยอยไต่ขึ้นยอดไม้เดินทางไปต้นนอน
หลายตัวล่วงหน้าไปไกล-คงใกล้ต้นนอนแล้ว
แต่อีกหลายตัวยังคงอ้อยอิ่งหานั้นหานี่เข้าปากอยู่ด้านหลังไกลๆ – ไกลจากต้นนอน
หลังจากกระจายตัวออกหากินครอบคลุมไปทั่วเป็นบริเวณกว้างในช่วงวัน พอตกเย็นมาก็เริ่มรวมตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อน กระชับพื้นที่เข้ามา ก่อนที่จะเข้าต้นนอน
แล้วเสียงทะเลาะกันก็ดังขึ้น พักใหญ่แล้วก็หยุดไป และก็อย่างเคยที่การฆ่าแกงกันที่เกิดขึ้นมักจะอยู่ไกลจากผม พอไปถึงที่เกิดเหตุ เรื่องราวก้มักจะจบแล้วทุกที
เช่นกันกับครั้งนี้ ที่พอไปถึง ลิงที่เห็นก็นั่งสงบเสงี่ยม อยู่ใครอยู่มัน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่แล้วก็มีเสียงร้องดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นเสียงลูกลิงที่คงจะโดนรุ่นใหญ่สักตัว ข่มเหงรังแก
สิ้นเสียงร้อง อะไรบางอย่างก็แหวกม่านไม้ไผ่ร่วงลงมาสู่พื้น
ร่างน้อยๆนั้นร้องออกมาอีกครั้งหลังจากกระแทกกับพรมใบไผ่บางๆบนพื้นดินแข็งๆแห้งๆ
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ไปทั่วห้องหัวใจผม เพราะมันเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา!
...จุกมากไหม? กระดูดหักไหม ตายหรือเปล่า? ใครเป็นคนทำแบบนี้....???
พอร่างน้อยๆนั้นสัมผัสถึงพื้น อวัยวะในร่างกายทุกส่วนก็เริ่มหดตัว เพื่อทำการหมอบกลัว (Crouch) อันแสดงถึงการยอมแพ้และหวาดกลัวอย่างมาก และไม่คิดที่จะสู้หรือหาทางหนี จึงได้แต่ทำตัวให้เล็กที่สุด แบนราบกับพื้นมากที่สุกเท่าที่จะทำได้ เพื่อความปลอดภัย
สักพักก็มีลิงตัวหนึ่งไต่ตามลงมา มองหาลูกลิงน้อยตัวนั้น
นั่นมัน เจ้าหนุ่ม (Num) นี่หน่า
ลิงตัวผู้หน้าดำ หางตรงยาว ที่อยู่ในวัยหนุ่ม (Sub adult) ตามชื่อเรียก, มันอพยพย้ายถิ่นมาจากฝูงสตั้มปี้ ร่วมกับพรรคพวกอีกหลายจัว และแน่นอนพร้อมกับลุกพี่ของมันด้วย เจ้าคอฟฟี่ (Coffee) 
พอเจ้าหนุ่มเห็นลูกลิงตัวนั้น มันก็กระโจนลงไปหาทันที
ตอนแรกผมคิดว่า มันคงจะมาช่วยพาลิงน้อยกลับขึ้นไป
แต่มันไม่ใช่อย่างที่ผมคิดและก็ไม่ใช่ในสิ่งที่ผมคาดถึงด้วย
เมื่อมันตรงเข้าไปกัดและขย้ำลูกลิงที่นอนหมอบไร้ทางสู้บนพื้นหลายที
....อย่างโกรธแค้น....บ้าระห่ำ...โหดร้าย... และไม่น่าเชื่อ!!!
แล้วมันก้คว้าร่างชุ่มเลือดนั้นไต่ขึ้นไปตามกิ่งไผ่
เสียงร้องของลูกลิงน้อยเพียง 2 แอ๊ก ทำให้มีลิงอีกตัวพรวดพราดมาตามกิ่งไผ่ พร้อมกับร้องขู่ ร้องไล่ เจ้าหนุ่ม
เมื่อเห็นท่าไม่ดี เจ้าหนุ่มรีบใช้ปากคาบร่างลิงน้อย, เหมือนแม่แมวคาบลูก แต่ในกรณีนี้ ไม่มีความปราณีใดใดให้เห็นเลย, ก่อนจะสาวมือและเท้า ทะยานหายไปสู่พุ่มไม้ข้างบน
เจ้าคิลิมันจาโร(Kilimanjaro)นั่นเอง ที่ส่งเสียงร้องรุกไล่เจ้าหนุ่ม พร้อมกับเสียงโหวกเหวกโวยวายเล็กน้อย
...แล้วทุกอย่างก็เงียบลง
แต่แล้วผมก็เห็น…
ร่างน้อยๆนั้น ค่อยๆ ร่วงผ่านกิ่งไผ่ลงมาจากต้นไม้, จากปากเจ้าหนุ่ม
แรกทีเดียวลิงน้อยยังคงเกาะเกี่ยวกิ่งไผ่ไว้ได้ ไม่ตกลงสู้พื้นในทันที  มันค่อยๆ ขยับแขนขาทั้งหมด กอดกิ่งไผ่เอาไว้ เพื่อประคองร่างที่ชุ่มไปด้วยของเหลวสีแดง
แต่เหมือนว่า ร่างกายจะไร้เรี่ยวแรงในการต้านทานแรงโน้มถ่วงและความเจ้บปวด ขาทั้งสองเริ่มห้อยลง ไม่ยึดเหนี่ยวกับสิ่งใด
แถมมีลิงอีกตัวผ่านมาใกล้ เพื่อดูเหตุการณื หรืออะไรก็แล้วแต่
โดยไม่ได้ตั้งใจ การไต่ตามกิ่งไผ่นั้น ทำให้ เกิดแรงสะเทือนไปถึงลูกลิงน้อยที่อ่อนแรง ร่างนั้นหมุนพลิกมาห้อยโตงเตงอยู่ด้านล่างของกิ่งไผ่
จากขาเพียงสองข้างก็เพิ่มมือว้ายอีกข้างที่ เริ่มคลายความเหนียวแน่นในการประคองชีวิต หลุดไปอีกข้าง
และไม่นานมือขวาก็ไม่อาจพยุงร่างนั้นเอาไว้ได้
ร่างนั้นร่วงลงพื้นอีกครั้ง แต่คราวนี้อยู่ในท่านอนหงาย กางแขนกางขา-หมดสภาพแห่งความมีชีวิต, อย่างที่สุด
ผมรอสักพัก ก็ไม่เห็นมีลิงตัวไหนตามเข้ามา จึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
กับภาพที่เห็นลูกลิงน้อยตัวเมีย โดนกัดไส้หรืออะไรสักอย่างทะลุท้องออกมา เลือดสีแดงระบายไปครึ่งตัว แขนขาไม่ขยับ ทำได้เพียงกระพริบตา
อีหนูเอ๊ย เจ้าไปทำอะไรมาหนอ ถึงได้ต้องมาลงเอยแบบนี้
เจ้าหนุ่มไม่ลงมาติดตามผลงาน เจ้าคิริมันจาโรก็ไม่เห็น แม่หรือญาติสักตัวก็ไม่มีมา...
ผมถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานแห่งความโชคร้าย หรือโหดร้าย ของวัน
มองดูแล้ว ก็คงไม่รอดคืนนี้เป็นแน่ ที่ลมหายใจของลิงน้อยจะหลุดลอยหายไป
ใจหนึ่งก็คิดอยากจะช่วยเหลือ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของสัตว์ป่า ก็ควรที่จะให้มันจบตามธรรมชาติของสัตว์ป่า
ผมจำใจต้องทิ้งร่างลิงน้อยไว้อย่างนั้น ด้วยความเข้าใจแต่ยากทำใจ
และด้วยกฏระเบียบ ทำให้ ผมไม่สามารนำร่างซึ่งมีลมหายใจ- เพื่อนำกลับไปวัดขนาด ชั่งน้ำหนัก เก็บเป็นข้อมูลทางวิชาการไว้ แม้นว่าลมหายใจจะแผ่วแสนแผ่วก็ตาม
เพราะมันคงต้องตายแน่ๆ
ผมและเพื่อนร่วมงาน รีบออกจากบริเวณนั้น ซึ่งใกล้ต้นนอนมากแล้ว เพื่อว่าจะมีลิงตัวไหน มีวิชาชุบชีวิต แล้วจะมารับร่างเกือบไร้ลมหายใจของลิงน้อยนั้นไปรักษา แต่ไม่กล้าเข้ามาเพราะเห็นพวกผม หรืออย่างน้อยก็อาจจะมีสักตัวที่แวะลงมาดูหน้าดูตาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนสิ้นแสงตะวัน และร่างนั้นจะกลายเป็นอาหารอันโอชะของใครสักตัวในความมืด
และนั่นก็คือข้าวดีและข่าวร้าย สำหรับวันนี้ จากแนวรบใกล้ถนน ที่ผมอยากนำมาเล่าให้คุณฟัง
ผมกลับบ้านไปพร้อมกับคำถามที่ยังค้างคาใจ เพราะเหตุใดเจ้าหนุ่มถึงต้องทำกับลูกลิงน้อยอย่างนั้น?
จริงอยู่ที่มันอาจจะมาพอใจ ลิงน้อยที่มาเกาะแกะกวนใจใกล้ๆ จึงตบหรือกัดเอา ซึ่งก็พบเห็นได้บ่อยๆ แต่ก้ไม่เคยมีใครตามลงมากัดคออย่างโหดร้ายอย่างนี้มาก่อน
ลิงน้อยตัวแค่นี้ จะไปสร้างความโกรธแค้นอะไรได้มากมาย จนทำให้เจ้าหนุ่มบ้าคลั่งได้ขนาดนั้น?
หรือว่านั้นคือ การฆ่าลูกลิง (Infanticide)ที่เห็นได้ในลิงหลายชนิดทั้ง... ซึ่งเป็นการที่ลิงตัวผู้ทำกการฆ่าลูกลิง เพื่อทำให้ แม่ลิงตัวนั้น พร้อมที่จะผสมพันธุ์และตั้งครรภ์ได้ หรือ เพราะว่า ต้องการฆ่าลูกลิงที่คิดว่าไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง ซึ่งจะเป็นตัวผู้ที่มาจากฝูงอื่นเสียส่วนใหญ่
แต่หากเป็นการกระทำจากตัวผู้ภายในกลุ่มเองนั้น ผมยังไม่เคยได้ยินมาก่อน
    หากจะพูดถึงในแง่ การทำให้แม่ลิงพร้อมที่จะผสมพันธุ์นั้น ก็ยิ่งทำให้เข้าใจยากขึ้นไปอีกในกรณีนี้ เพราะเจ้าหนุ่มเอง ก็ไม่ใช่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างแท้จริงในฤดูผสมพันธุ์ที่จะมาถึง หรือในอีกหลายปีด้วย เพราะมันยังเป็น ลิงหนุ่มอยู่
นั่งคิดไปคิดมา ก็ยังหาคำอธิบายที่ดูจะเข้าท่าไม่ได้สักที
หรือมันจะรับจ้างมาฆ่า ทวงแค้นให้ลิงตัวใดตัวหนึ่งในฝูง
หรือจะโยงเรื่องราว ไปยัง ภาวะโลกร้อน ที่ทำให้อะไรหลายๆอย่างเปลี่ยนแปลงแบบไม่น่าเกิดขึ้น แม้แต่พฤติกรรมของลิงวอกภูเขา
อืม ผมว่า เหตุผลสุดท้ายนี่ ก็ฟังดูเข้าทีนะ
หรือคุณคิดว่าอย่างไร?




15.หาย

เกือบหนึ่งอาทิตย์แล้วที่ปฏิบัติการณ์ตามหาคนหายยังคงดำเนินอยู่ ตั้งแต่ช่วงก่อนคืนข้ามปี จนถึงปานนี้ก็ยังติดตามค้นหากันอยู่
นักท่องเที่ยวผู้นิยมไพรและความหนาวเย็นมากหน้าหลายตา เข้ามาเยี่ยมเยือนและพำนักพักผ่อน รวมทั้งเฉลิมฉลองการเข้าสู่ศักราชใหม่ร่วมกันในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว
ก่อนจะทยอยกันจากลาผืนป่าและสรรพสัตว์ เพื่อกลับออกไปทำงานและภารกิจอื่นๆ
แต่หากว่ามีรถยนต์หนึ่งคันที่จอดค้างอยู่ที่เดิมบนลานจอดรถบ้านพัก เป็นเวลาหลายวันจนผิดสังเกต  และเมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลก็พบว่า รถคันนี้เข้ามาตั้งแต่ก่อนสิ้นปี และหลังจากเฝ้ารอและเช็คดูในห้องพัก ก็ไม่พบเจ้าของรถแต่อย่างใด
ถึงตอนนั้นปฏิบัติการการตามหาคนหายก็ได้เริ่มต้นขึ้น หลังจากหาในบริเวณใกล้ๆไม่พบร่องรอย ก็ถึงคราวที่ต้องจัดชุดใหญ่ออกติดตาม ชุดลาดตระเวน 8 ชุด กระจายกำลังกันออกเป็นรูปดาวกระจาย ทั่วทิศรอบๆสำนักงาน ทุกร่องรอยได้รับการแจ้งเบาะแสเข้ามาที่สำนักงาน เพื่อวิเคราะห์เส้นทางที่น่าจะเป็นไปได้ และแจ้งพิกัด แล้วให้ตีวงรอบกรอบการค้นหาให้แคบเข้ามา โดยมีหัวหน้าเขตเป็นผู้ควบคุมการค้นหาด้วยตนเองอย่างใกล้ชิด
ด้วยประสบการณ์และความชำนาญในพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ ไม่นานก็คงได้รับข่าวดี แต่ถ้าคนที่หายไปตั้งใจที่จะหายไปเองนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง การปูพรมเดินหาทั้งวันทั้งคืนก็คงเหนื่อยมากหน่อยกว่าจะเจอ
นั่นคือเรื่องของคนหาย  และในช่วงเวลาเดียวกัน
 ลิงของผมก็หายเช่นกัน!
หลังจากที่ทีมวิจัยหยุดติดตามในรอบเช้าเพื่อมาร่วมทำบุญที่สำนักงานเขต แล้วกลับไปหาลิงในตอนบ่าย
ฝูงลิงทั้งฝูงก็หายตัวไปอย่างไร้วี่แวว ซึ่งพวกมันชอบทำแบบนี้กับเราเป็นประจำ
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้หลายวัน ฝูงลิงจะหากินเป็นวงจรใกล้ๆ จากต้นไทรไปต้นก่อ แวะไปเล่นน้ำแล้วก้ไปกินก่ออีกรอบ ก่อนจะขึ้นต้นนอน เหมือนเดิมซ้ำไปซ้ำมาทุกวัน
แต่พอเว้นว่างการตามติดเพียงครึ่งวัน พวกมันก็อันตรธานหายตัวไปจากพื้นที่ที่หากินเป็นประจำ
วันแรกที่ออกค้นหา ก็ไม่ได้กังวลใจเท่าไหร่ คิดว่าคงเจอไม่ยาก แต่นี่ปาเข้าไปวันที่สามแล้วที่คว้าน้ำเหลว พวกเราเริ่มหวั่นในใจ และที่น่าแปลกคือ ไม่เห็นหน้าลิงทั้ง 3 ฝูงที่เรามีในพื้นที่ศึกษาเลยสักฝูง
หรือว่าพวกมันจะเคลื่อนขบวนลึกขึ้นไปทางเหนือ เพื่อหาอาหาร และที่พวกผมกลัวๆก็คือ พวกมันจะกันไปถึงTwon ที่อยู่เหนือสุดของพื้นที่ เพื่อไปกินผลหลงใหล(Drypetes hainanensis) และที่นั่นใช้เวลาเดิน หนึ่งชั่วโมงครึ่งเป็นอย่างน้อยเพื่อให้ไปถึงต้นนอน-ไม่อยากคิดเลย
การตามหาลิงไม่เหมือนการตามหาคน เพราะการตามลิง จะเริ่มปฏิบัติการในตอนบ่าย ในช่วงเวลาก่อนที่ฝูงลิงจะเข้าต้นนอน โดยเราจะแบ่งกันไปตรวจตามต้นนอนต่างๆที่มีอยู่ ประมาณ 20 ต้น เพราะลิงจะเข้านอนตามต้นนอนที่เคยนอนเสมอ นอกเสียจากว่ามันจะมีต้นนอนใหม่ที่พวกเราไม่รู้จัก
พอฟ้าเริ่มมืดเราก็จะกลับออกมา ไม่ได้ไปนอนค้างแรมอยู่ในป่าเหมือนชุดลาดตระเวนที่ไปตามหาคนหาย
อากาศช่วงนี้เป็นหน้าหนาวที่แท้จริงแล้ว มืดเร็วเช้าช้า ยิ่งในป่าที่รกทึบ ความเย็นยะเยือกจะยังคงอยู่จนเกือบเที่ยง หลังจากนั้นถึงจะเริ่มอุ่นขึ้นมาบ้าง แต่แล้วไม่นาน ความมืดครึ้มและเย็นยะเยือกก็จะกลับมาอีกครั้ง
ฝูงลิงสามารถกอดเพื่อแลกเปลี่ยนความอบอุ่นและช่วยกันดูแลความปลอดภัยกันและกันได้
แต่สำหรับคนเพียงคนเดียวที่หลงทางอยู่กลางป่า หน้าหนาวอย่างนี้-ไม่อยากคิดเลย
พอเข้าวันที่สี่ของการตามหาลิง สมาชิกหนึ่งคนในทีมที่กระจายกันไปทั่วพื้นที่ศึกษาก็แจ้งข่าวดีมาทางวิทยุว่า พบลิงแล้ว กำลังหากินอยู่ต่ำๆ ตรงบริเวณที่พวกมันไปหากินประจำ แถมก่อนหน้าที่จะเจอฝูงเป้าหมาย ก็เจออีกฝูงด้วยเหมือนกัน
ให้มันได้อย่างนี้! เวลาจะเจอก็เจอทั้งสองฝูง พอหาไม่เจอก็ไม่เห็นสักฝูง
ขากลับขณะเดินทางออกจากป่า ก็เจอกับชุดลาดตระเวนที่มาตามหาคน เลยได้เดินออกมาถนนพร้อมกัน
ทีมหาลิงขับมอเตอร์ไซด์กลับก่อน ส่วนทีมหาคน รอรถยนต์มารับ
ยังไม่มีวี่แววสำหรับคนหาย ส่วนลิงนั้น ส่งขึ้นต้นนอนเรียบร้อยแล้ว ไว้พรุ่งนี้เจอกัน
เช้าวันต่อมา ผมกับสมาชิกใหม่อีก 2 คน เข้าไปเปลี่ยนกะเช้า ตรงบริเวณใกล้โป่งไผ่ ขณะเดนเข้าไปก็นึกอยู่ในใจว่า วันนี้ลิงคงอยู่บนพื้นหรือกำลังกินโป่งกันอยู่หรือทำอะไรอยู่ต่ำๆ
แต่พอเดินไปถึงที่หมาย นอกจากเสื้อกันหนาวสีสันสดใสของทีมรอบเช้าที่มองเห็นแต่ไกลแล้ว ผมก็ไม่เห็นเสื้อกันหนาวสีขนลิงสักตัว อยู่บนพื้น จนเมื่อเดินเข้าไปทักทายถามและไถ่ถามถึงความเป็นไปในรอบเช้า ว่าลิงเป็นอย่างไรบ้าง ทั้งสองคนก็บิดคอไปมาซ้ายขวา ก่อนจะเงยหน้าไปบนต้นไม้สูงๆต้นหนึ่ง แล้วบอกว่า
“ลิงหากินอยู่แบบนั้นมาตลอดเช้า ทำงานยากมาก มาลงต่ำเลย แถมตื่นนอนมาก็นั่งผิงแดดอยู่บนยอดไม้เป็นชั่วโมง” แล้วก็บิดคออีกสองรอบ
ขณะที่ยืนคุยกันอยู่นั้น พลร่มขนปุยจากเครือส้มลมก็ทยอยร่อนลงสู่พื้นดิน
ในป่ายามนี้ เหมือนจะถูกปกคลุมไปด้วย ขนปุยนุ่มขาวสะอาดตาทั่วทุกหัวระแหง เพราะถึงเวลาของผลส้มลมที่จะเริ่มแพร่กระจายเมล็ดพันธุ์พร้อมร่มชูชีพ ให้พัดพลิ้วปลิวไปตามลม ใกล้ไกลแล้วแต่ยถากรรม
สำหรับสมาชิกใหม่ ช่วงแรกๆของการทำงานซึ่งจะเป็นการเรียนรู้ลักษณะของลิงแต่ละตัว เป็นช่วงที่น่าเบื่อและน่าอึดอัดที่สุด เวลาแต่ละวันช่างเดินอืดอาดยืดยาด ยิ่งลิงหากินอยู่บนที่สูงด้วยแล้ว ยิ่งทำให้การสังเกตและเรียนรู้ลำบากมากยิ่งขึ้น
แต่หากว่าเริ่มจำลิงได้แล้ว ความสนุก ตื่นเต้น รวดเร็ว ก็จะค่อยๆแวะเวียนเข้ามาในโมงยามของการทำงานในป่า
กลับมาที่ฝูงลิงวันนี้ ไม่นานนัก ฝูงลิงก็เริ่มทยอยกันไต่ลงมาจากต้นไม้สูง หลังจากอิ่มเอมกับเม็ดส้มลมจนพอใจและตัวเมียบางตัวถึงกับลงไปเดินหาหอยตามลำธารแล้ว
เหมือนฝูงลิงจะรู้งานว่า ต้องทำตัวอย่างไร เพราะบ่อยครั้งที่เวลามีแขกมาเยี่ยมเยือน ฝูงลิงจะลงมาหากินอยุ่ต่ำๆ ให้แขกได้ชื่นชมความงดงามและดมดอมความเป็นธรรมชาติของลิงป่า
คำอธิบายลักษณะพิเศษและชื่อลิงแต่ละตัว ไหลหลั่งออกมา เมื่อลิงหลายตัวลงมาเดินจามลำธาร โดยเฉพาะตัวผู้และตัวเมียเต็มวัยซึ่งจะมีลักษณะเด่นๆให้จดจำและสังเกตได้ง่าย
ที่ผมสังเกตเห็นในความแปลกเล็กๆน้อยๆก็คือ พวกตัวผู้เต็มวัยชั้นสูง หันมาเดินตามติดตามจีบ แม่ลิงที่เพิ่งมีลูกอ่อนเมื่อปีที่แล้วกันหมด อย่างจ่าฝูง ทาริม ก็ตาม อันดอร่า Andora  โคเกีย Qogir ก็ตามซูน่าTschuna และเจ้าโตเกียวTokyo ก็ตามฟลอเรนซ์ Florence ซึ่งไม่ค่อยเห็นสักเท่าไหร่ ที่แม่ลูกอ่อนจะเป็นเป้ามหายของการผสมพันธุ์ขนาดนี้
แต่พวกเธอเหล่านั้นก็น่าจะให้ลูกอีกได้ เพราะว่ารอบปีที่แล้ว ต่างก็ออกลูกต้นๆปี
และอีกอย่างก็เป็นเพราะพวกที่ไม่มีลูกปีที่แล้ว ท้องก็เริ่มป่องกันอย่างเห็นได้ชัดเจนแล้ว
ฝูงลิงลงมาเดินบนพื้นอยู่พักใหญ่ ให้ได้ชื่นอกชื่นใจไม่นาน ก้เริ่มทยอยไต่ขึ้นไปบนยอดไม้ เพื่อเป้าหมายในอาหารอย่างเดิม-เม็ดแก่ของเครือส้มลม!
ขนปุยฟูฟ่อง ลอยละล่องเต็มป่า แต่เหตุใดหนา ฝูงลิงจึงเคลื่อนขบวนไปทางนี้
ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ หรือว่าพวกมันจะพากันไปนอนที่ต้นนอนThinSS
ชั่วโมงกว่าๆที่ฝูงลิงช่วยกันโปรยขนปุยสีขาวไร้เม็ดของส้มลมลงมาบนพื้น
ชั่วโมงกว่าๆที่ผมสามารถมองเห็นลิงตัวผู้เต็มวัยเพียงตัวเดียว ให้ได้ทำการทำงาน แล้วเสียงเจี้ยวจ้าวปรึกษาหารือก็ดังขึ้น ก่อนที่ฝูงลิงจะเคลื่อนที่ แน่วแน่ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ลิงอาวุโสสองตัวลงมาเดินทางบนพื้น ทั้ง เจ้านายและวูลูมูลู Wooloomooloo- ชื่อเก๋ไหมล่ะครับ? จากนั้นพวกตัวเล็กๆและตัวเมียก็เริ่มตามลงมา
ฝูงลิงไปหยุดแวะอีกครั้งที่ต้นกระทุ่มบก ใครมีเรี่ยวมีแรงก็ปีนขึ้นไปหากินบนต้นสูงๆ ใครขี้เกียจหรือฉลาด ก็หาเก็บกินลูกที่หล่นลงมา พวกจอมซนวิ่งเล่นไล่จับกัน ตั้งแต่ลงพื้นมา  อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ลิงบางส่วนเดินทางล่วงหน้าไปก่อนแล้วทางทิศจะวันตก เพราะต้นไม้สั่นไหวและเสียงกัดกัน
ค่ำนี้คงหนีไม่พ้น ต้นนอนThinSS เป็นแน่ จากทิศทางและระยะทาง
มิน่าล่ะ ตอนที่มาหาลิงจึงไม่เจอ เพราะฝูงลิงไม่ได้มานอนที่นี่นานมากแล้ว และนั่นทำให้พวกเราคิดไม่ถึงว่ามันจะมานอน เลยไปเน้นหากันทางใต้ของถนน
ฟ้าครึ้มทั้งวันเหมือนมีแผ่นเมฆหนากั้นความเจิดจ้าเอาไว้ เพิ่งเริ่มมีแสงแดดให้เห็นก็ตอนพลบค่ำนี้เอง ที่ดวงตะวันเคลื่อนลงมาต่ำกว่าแผ่นเมฆและสามารถฉายแสงส้มทอง เฉดสีสุดท้ายของวันก่อนจะเข้าสู่เฉดสีแห่งรัตติกาล
แต่ถึงกระนั้น ก็เหมือนว่า ฝูงลิงจะไม่ได้เร่งรีบในการไปให้ถึงต้นนอนแต่อย่างใด นั่งเล่น นอนเล่นอยู่ตามคาคบระหว่างทาง บางตัวก็ยังขมีขมันหากินอยู่
ส่วนเจ้านายนั้น หาวนอนโชว์เขี้ยวดำๆที่เหลือความยาวไม่ถึงครึ่ง มา3 ครั้งแล้ว
เจ้าทาริมก็ใช่ย่อย นั่งหลับรอ อันดอร่าAndora ระหว่างสาวเจ้านั่งทำความสะอาดอยู่กับแกมเบียGambia ที่สำคัญก็คือ มีพวกตัวเล็ก สี่ห้าตัวกระโดดหยอกล้อกันไปมาอยู่ใกล้ๆ
พรุ่งนี้กะเช้าคงต้องตื่นเช้าขึ้นอีกนิดและเดินไกลอีกหน่อยเพื่อมาให้ทันลิงออกจากต้นนอนThinSS แต่ผมคิดว่า พวกมันคงจะตื่นสายเหมือนเดิม
วันนี้เรามีลิงแล้วและรู้ว่าคืนนี้พวกมันจะนอนกันที่ไหน
แต่สำหรับคนหาย ยังไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร อยู่ กิน นอนอย่างไร
ก็ได้แต่หวังว่าจะหาเจอในเร็ววันนี้
เราเริ่มเดินออกจากป่าเมื่อฝูงลิงทยอยขึ้นต้นนอน
แสงสว่างเริ่มเบาบางลง ความมืดเริ่มเข้าปกคลุมผืนป่า โดยส่งความสลัวและความเย็นเยือกเข้ามาก่อน นานแล้วที่ผมไม่ได้ใช้ ไฟฉายส่องทางกลับบ้าน
แสงสีเขียวของหิ่งห้อยดูน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋ม แต่ผมไม่รู้ว่า มันเป็นอย่างไร ที่ต้องอยู่ในป่าคนเดียวและไม่มีไฟ แล้วมองเห็นแสงหิ่งห้อยวิบวับๆ

………………………………………140113….
ปล. หลังจากค้นหา 10 วัน ทีมลาดตระเวนก็เจอคนหาย ในสภาพอิดโรย เสื้อผ้าขาดวิ่น แขนขามีแต่บาดแผลจากหนาม แถมมีทากและเห็บกัดเต็มตัว
หลังจากนั้นก็เป็นข่าวใหญ่ในหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ
โชคดีที่หาจนเจอ และยังหายใจอยู่



16.หนี

มะเดาะต้นเท่าน่องขา หักล้มนอนขวางอยู่บนทางเดิน Tmoi  ก่อนจะถึงTyan ด้วยสภาพที่กิ่งก้านไม่หลงเหลือใบติดอยู่เลย สัตว์ป่าตัวดำร่างบึกบึนแต่ใส่ถุงเท้าขาว ใช้กำลังโค่นมันลงมา ก่อนจะกัดกินใบสีเขียวเข้มตามกิ่งก้านจนเลียนเตียน ต้นนี้เป็นต้นที่4 แล้วในรอบสัปดาห์ ที่พบเห็นตามทาง ด้วยสภาพไม่แตกต่างกันคือ ไร้ใบ
วันนี้ผมมาทำงานกับเพื่อนใหม่ ที่มาสับเปลี่ยนกับเพื่อนเก่าที่เก็บข้อมูลภาคสนามเสร็จแล้ว และกลับไปต่างประเทศเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้และเขียนวิทยานิพนธ์
และด้วยความใหม่ของผู้ร่วมทาง ทำให้ผมต้องทำทุกอย่างแช่มช้อยลงอีกนิด ทั้งการขับรถ การเดินป่า รวมทั้งการพูดภาษาต่างประเทศ ที่ต่างคนต่างยังไม่คุ้นสำเนียงซึ่งกันและกัน
ในแต่ละวันของการทำงานช่วงนี้ ผมและผู้มีประสบการณ์คนอื่นๆต้องคอยช่วยเพื่อนใหม่ ให้รู้จักลิงไปด้วย ว่าตัวไหนชื่ออะไร มีลักษณะเด่นที่ง่ายต่อการจดจำตรงไหนบ้าง ซึ่งนั่นทำให้งานที่ได้ในแต่ละวันอาจไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนก่อน ซึ่งก็เป็นเรื่องปรกติที่ต้องเกิดขึ้นและยอมรับได้
ลิงหลายตัวก็มีจุดเด่น ซึ่งแตกต่างกับตัวอื่น ให้จำได้ง่ายๆ ทำให้เพียงเห็นแค่ไม่กี่ครั้งก็จำได้ แต่ลิงหลายตัวก็ไม่มีจุดเด่นอะไรชัดเจน ต้องอาศัยเวลาและความคุ้นเคย จึงจะสามารถแยกแยะออกจากตัวอื่นได้
ซึ่งฟังดูก็อาจเป็นเรื่องยากและลำบากนิดหน่อยสำหนับคนมาใหม่ เพราะลิงไม่ได้มีเพียง 10-20 ตัว แต่มีเป็น 100 ตัว ร้อยชื่อให้จดให้จำ
และเมื่อผมถูกถามว่า “ลิงตัวนี้มีลักษณะเด่นอะไรให้จำ”หลายครั้งที่ผมก็บอกไม่ได้ เพราะมองดูแล้ว มันก็ไม่มีจุดเด่นอะไรเลย มีเพียงความยาวนานของเวลาเท่านั้นที่ช่วยให้ผมบอกได้ว่าใครเป็นใคร และอีกอย่างพวกมันก็เติบโตและเปลี่ยนแปลงข้ามวันข้ามปีมาพร้อมกับผม ซึ่งนั่นทำให้ผมจำลิงแต่ละตัวได้ ก็เท่านั้น
มันต้องใช้เวลา ไม่ใช่ว่าจะมาจำลิงทั้งฝูงได้ ในสามสี่อาทิตย์
อีกอย่างในแต่ละวัน ลิงก็ใช่ว่าจะอยู่ให้เห็นได้สบายๆ อย่างเช่น เมื่อวานตลอดเช้า พอออกจากต้นนอนได้ ก็นั่งผิงแดดกันอยู่บนยอดไม้ จับคู่ทำความสะอาดให้กันเป็นชั่วโมง มองขึ้นไปก็เห็นเพียงแผ่นหลังกับขนสีทองที่สุกสกาววาววับรับแสงตะวันอุ่นๆ และหลังจากอิ่มแดดอุ่น ก็เคลื่อนขบวนอยู่บนเรือนยอด หากินเม็ดส้มลม ซึ่งก็มีอยู่แต่บนยอดสูงๆ และมักจะอยู่เป็นเครือเป็นเถารกๆปกปิดสายตา คนที่อยู่ข้างล่างก็เห็นเพียง ขนปุยไร้เม็ดของส้มลมที่ลอยละลิ่วปลิวลงมากลาดเกลื่อนทั่วพื้น
ผมทำงานก็ไม่ได้ จะบอกให้เพื่อนใหม่ดูและจำลิงก็ไม่ได้ ทางเลือกที่ทำได้ก็คือ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงานซึ่งกันและกัน
แต่บ่ายนี้ ฝูงลิงทำตัวดีเหลือหลาย ลงมาหากินบนพื้น ให้การทำงานมีแต่ความรื่นรมย์ ทีมกะเช้าบอกว่า ตลอดเช้าอยู่บนยอดไม้ เพิ่งพากันลงมาพื้นก็ 11.00 โมงนี่แหละ
“ก็เพราะว่า พวกมันรู้ว่า ผมกำลังมาหากระมัง?” 
และนั้นก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่เพื่อนใหม่จะได้รู้จักลิงแต่ละตัวอย่างใกล้ชิดและชัดเจน
ลิงหลายตัวที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเป็นจุดเด่นสำหรับผม กลับกลายมันเกิดมีบางอย่าง ในเมื่อผมอาศัยความคุ้นชินในการมอง มันก็ย่อมไม่ค่อยละเอียดลออเท่าไหร่นัก แต่สำหรับเพื่อนใหม่ ที่ต้องพยายามจดจำลิงให้ได้เร็วที่สุด การเพิ่มความประณีตในการมองในการสังเกต ก็ทำให้เห็นความพิเศษ มากกว่า
ลิงตัวเมียหลายตัวเกิดมีรอยขาดที่หูและจมูก ลิงตัวผู้หลายตัวนิ้วหักและมีแผลเป็นเล็กๆน้อยๆบนใบหน้า ซึ่งเพิ่มมาจากที่ผมเคยรู้จัก
เพื่อนใหม่ทั้งส่องกล้องทั้งจดลักษณะเด่นของลิงแต่ละตัว โดยเฉพาะรูปร่างของหาง ลงในสมุดบันทึกเล่มเล็ก พร้อมกับชื่อที่บางครั้ง ก็เรียกผิดเรียกถูก
โดยเราจะเริ่มให้จดจำลิงตัวเต็มวัยทั้งตัวผู้และตัวเมียก่อน เพราะท่านๆเหล่านี้ มักจะมีบาดแผลจากการต่อสู้ประดับประดาอยู่ตามร่างกาย ให้เป็นที่จดจำได้ง่าย
เดินทำงานไปๆมาๆ ผมก็มาอยู่ในใจกลางกลุ่มลิงที่กำลังนั่งคุ้นเขี่ย หาเม็ดก่อเดือยแก่กัน ก่อนจะอาขึ้นมาปั่นทำความสะอาดในมือ สองสามรอบแล้วจึงส่งเข้าปากไป ทั้งกัดกลืนกินบ้าง ทั้งเก็บลงไว้ในถุงแก้มบ้าง
จากปลายปีที่แล้ว ถึงสิ้นเดือนแรกของปีนี้ ฝูงลิงยังไม่ได้ออกเดินทางไปหากินที่ไหนไกลเลย เพราะติดใจอยู่ในความเอร็ดอร่อยของเม็ดก่อเดือย ที่มีชุกชุมดาษดื่นอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของต้นนอนTmoiSS
และฝูงลิงที่ผมหมายถึง ก็ไม่ใช่เฉพาะแต่ฝูงสตั้มปี้เท่านั้น แต่รวมถึง ฝูงย่อย และฝูงOthers ด้วย
ที่เริ่มลงมือจัดการกับเม็ดก่อเดือยตั้งแต่ยังอ่อนๆคาต้นอยู่ และก็ฝากท้องเรื่อยมา กระทั่งถึงตอนนี้ ที่เม็ดก่อเดือยแก่ จนหล่นร่วงลงมากลาดเกลื่อนอยู่ตามพื้น มันก็ยังเป็นอาหารจานโปรดของฝูงลิงอยู่
จะให้พวกมันทำอย่างไรได้ เพราะของดีอย่างนี้ 5 ปี ถึงจะมีครั้ง มันต้องให้เต็มที่ ให้คุ้มค่ากับการรอคอยสักหน่อย
(ผมก็ได้ลองลิ้มความเอร็ดอร่อยของเม็ดก่อด้วยและลองอยู่หลายอาทิตย์)
ในการกินอาหารแล้ว โดยปรกติของลิงจะไม่ค่อยอยู่ใกล้กันมาก เหมือนช่วงนี้ ที่นั่งก้นแทบจะติดกันเลย แต่ก็ไม่มีใครจะสนใจในการทะเลาะเบาะแว้งให้เสียเวลา
คงเพราะความมากมายก่ายกองของเม็ดก่อเดือยด้วยกระมั้ง ที่ทำให้ ไม่มีความหวงแหนเกิดขึ้นสักเท่าไหร่
ใช่ว่าจะไม่พบเห็นเสียเลย กับการแสดงความก้าวร้าว แต่มันไม่ใช่พฤติกรรมที่ลิงมีกับลิง แต่กลับเป็นลิงกับคน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกลิงตัวเล็กๆทั้งหลาย ที่ช่วงนี้มีความก้าวร้าว หงุดหงิด หรืออาจจะหวงอาหาร อย่างรุนแรง จนออกอาการข่มขู่พวกผม อย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน
ยิ่งช่วงลงมาหากินอยู่บนพื้นอย่างนี้ด้วยแล้ว ยิ่งมีโอกาสได้เจอกันบ่อยขึ้น และเมื่อพวกจอมซนเห็นว่า พวกผมมีท่าทีไม่น่าไว้วางใจหรืออะไรก็แล้วแต่(ทั้งที่พวกผมก็ไม่ได้ทำอะไรให้พวกมันเลย) หัวโจกของพวกมันก็จะร้องขู่และวิ่งเข้ามาจ้องพวกผมทันทีทันใด ดีไม่ดีอาจยืนสองขามองหน้าด้วยสายตาเอาเรื่อง หรือที่หาญกล้ากว่านั้น บางตัวถึงขั้นตบถุงกันทากด้วย
โดยจะมีตัวที่เริ่มจุดประกายความไม่พอใจ คือ แอนนา Anna ฮิวโก้ Hugo และไอโอน่า Iona ในกลุ่มย่อย ส่วนในกลุ่มหลักก็จะมี มอมแมม Mommam โลว่า Lowa และวิเวียน Vivian เป็นตัวตั้งตัวตี ก่อนที่ตัวเล็กๆอื่นจะเข้ามาร่วมด้วย บางคราวล้อมหน้าล้อมหลัง จนทำให้หวั่นใจและขนลุกด้วยความตื่นเต้นทุกครั้ง และแฝงด้วยความกลัวด้วย
เพราะถ้าผมไม่ออกมาให้พ้นจากจุดนั้น ก็ไม่แน่ใจว่า เหล่าทโมนน้อยจะทำอะไรกับผมบ้าง
แต่ถ้าจะหนีอย่างหวาดกลัว ก็อาจจะทำให้พวกมันได้ใจ และยิ่งตามขู่ตามตบได้
แต่ถ้าตอบโต้พวกมันไป  จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ ก็ไม่แน่ว่า เสียงร้องขอความช่วยเหลือของเจ้าตัวเล็ก จะนำลิงตัวใหญ่มากี่ตัวบ้าง และนั่นยิ่งจะเป็นปัญหามากขึ้น
ดังนั้นหลังจากปรึกษาผู้เชี่ยวชาญแล้ว สิ่งที่ควรทำคือ ให้อยู่นิ่งๆก่อน แล้วหันหน้ามองไปทางอื่น ทำเป็นไม่สนใจ ไม่สบตา แล้วพวกมันก็จะเบื่อไปเอง แต่ถ้าไม่ได้ผล ก็ให้ค่อยๆ ถอยหลังออกมาช้าๆจากที่เกิดเหตุ อย่ารีบวิ่งหนีเด็ดขาด
และแล้วผมก็ได้มีโอกาสได้ลองใช้วิธีการเอาตัวรอด ด้วยความไม่ได้ตั้งใจ เพราะขณะเดินจามทรูแมน ที่ย้ายก้นไปนั่งเก็บกินเม็ดก่อเดือยอีกฝั่งหนึ่งของต้นไม้ล้ม
ผมดันไปเหยียบกิ่งไม้หักเสียงดัง และนั่นก็เป็นสิ่งที่ไปรบกวนโสตประสาทของเหล่าวัยรุ่นเลือดร้อนเข้า จนทำให้แอนนนา วิ่งพรวดพราดเข้ามาหาผมพร้อมกับเสียงขู่ร้องกับสายตาจ้องเขม็ง ไม่กี่อึดใจ ทีมงานของเธอก็ตามมาสมทบ อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ทั้งเจ้าฮิวโก้ ไอโอน่า และ โดร่า ซึ่งแต่ละตัวต่างก็ส่งเสียงขู่ร้องพร้อมกับจ้องหน้าแยกเขี้ยวใส่ผม ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อให้ได้
แอนนาขยับเข้ามาตบที่ถุงกันทากหนึ่งทีก่อนจะเด้งตัวออกมาไปตั้งหลัก แล้วก็ยืนมองหน้าอีกสักพัก
แล้วผมก็เริ่มลองใช้วิธีการเอาตัวรอด โดยการเบือนหน้าหนี มาสบตาใครทั้งนั้น เสียงร้องยังคงดังอยู่สักพัก ก่อนจะเงียบไป แอนนา กับ ไอโอน่า เดินกลับไปคุ้ยเขี่ยหาเม็ดก่อกินตามเดิม ส่วนโดร่าเดินหายไปอีกทาง มีเพียงฮิวโก้เท่านั้นที่ยังไม่ได้ขยับไปไหน แต่ก็ก้มหน้าก้มตาเก็บเม็ดก่อเข้าปาก อยู่ใกล้ๆเท้าของผม
ผมยืนนิ่งมองดูพวกมันอยู่พักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจถอยออกมาอย่างช้าๆ โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยพวกมันไม่ได้สนใจผมอีกแล้ว ผมกล่าวคำขอโทษและขอบคุณพวกมันในใจ
ผมมองหาทรูแมนอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเห็นมันนั่งอยู่บนกิ่งไม้ต่ำ พร้อมกับเคี้ยวเม็ดก่อจากถุงแก้ม
จากนั้นไม่นาน ฝูงลิงก็เริ่มไต่ขึ้นบนที่สูง เพื่อเปลี่ยนเมนูอาหาร
จากเม็ดก่อเดือยบนพื้น… กลายไปเป็น… เม็ดส้มลมบนเรือนยอด
ลิงที่อยู่บนพื้นทั้งหมดค่อยๆหายตัวขึ้นไปอยู่บนต้นไม้สูง ให้มองเห็นแต่เพียงเงาตะคุ่มๆ ไม่แน่ใจว่าใครเป็นใคร ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่
เกือบหนึ่งชั่วโมงที่ขนปุกปุยของฝักส้มลม ลอยละล่องลงมาจากเรือนยอดอย่างไม่ขาดสาย แล้วฝูงลิงก็เริ่มเคลื่อนตัว มุ่งหน้าทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ พวกมันคงจะไปนอนที่ต้นเดิมที่จากมาเมื่อเช้า,ต้นนอนTwaiSS
เหมือนกับว่าตื่นเช้ามาก็ออกหากิน เดินวนเป็นวงกลมเรื่อยๆ ก่อนจะมาบรรจบหนึ่งวัน ที่ต้นนอนต้นเดิมตอนเย็น
พวกฝูงย่อยต้องคอยถอยร่นหลีกหนีจากพวกฝูงหลัก ที่รุกไล่ตามลงมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นนอนTmoiSS  จนมาถึงที่ต้นนอนTexpSS ที่พวกฝูงหลักก็ยังตามมารังควาญ ยึดพื้นที่กับต้นนอนไปอีก จนทุกวันนี้พวกมันได้เคลื่อนขบวนลงมาถึงต้นนอนTwaiSS ซึ่งไม่มีลิงฝูงไหนมาใช้บริการมานานแล้ว
พื้นดินใต้ต้นก่อเดือยแถวTwai ยังคงมีอาหารให้พวกฝูงย่อย ได้คุ้ยเขี่ยหากินไปได้อีกสักพัก เพราะตอนนี้หลายเม็ดเริ่มแทงรากลงดินกันบ้างแล้ว อีกไม่นานส่วนเอนโดสเปิร์มของเม็ดที่ลิงกินเป็นอาหาร ก็จะกลายไปเป็นใบเลี้ยงของต้นอ่อน
เมื่อถึงตอนนั้น การเดินทางออกหากินก็คงต้องเริ่มต้นอย่างจริงๆจังแล้ว รวมไปถึงโอกาสที่จะต้องพบเจอลิงฝูงอื่นด้วย และด้วยจำนวนสมาชิกในฝูงที่น้อยกว่าฝูงอื่นๆกว่าครึ่ง ทำให้ผมหวั่นใจว่าการรุกรานและการถอยร่นที่จะเกิดขึ้นกับฝูงย่อย อาจจะทำให้พวกมันลำบากในการหาอยู่หากิน
แต่ถึงอย่างไรเสีย เมื่อถึงคราวคับขัน ผมก็เชื่อว่า พวกมันคงจะรู้วิธีการเอาตัวรอด  ที่เกิดจาการเรียนรู้มาบ้าง ไม่มากก็น้อย และสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้
ผมจะคอยตามหาฝูงย่อย เพื่อติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวภายในฝูง-ทั้งด้วยหน้าที่และความคิดถึง
แต่มีข้อแม้ว่า พวกมันต้องพยายามหาที่อยู่ภายในพื้นที่ศึกษาให้ได้  ไม่ใช่ออกไปอยู่ที่อื่น ไกลๆ
แล้วเราค่อยเจอกัน…

…………………………………………………..240113…………………..





17.วันเวลาที่ผ่านมา
   
    อีกไม่ถึงเดือน วันวิ่งประเพณีก็จะมาถึง แต่ร่างกายของผมยามนี้ ยังไม่มีความพร้อมเลยสักนิด แถมค่อนไปทางติดลบเสียด้วยซ้ำ เมื่อเพิ่งไปรับไข้หวัดมาจากเมืองหลวง หลังจากไปร่วมงานแต่งเพื่อน แล้วโดนฝนกระหน่ำระหว่างทางที่ไปซื้อเบียร์ขึ้นไปกินที่ห้องพัก ทั้งปวดหัว ทั้งไอ ทั้งมีไข้ ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะทำงานไหวหรือเปล่า?
    จริงๆแล้ว ผมไม่ต้องผืนสังขาร ตื่นแต่ตี 5 ออกไปวิ่งขึ้นเขาลง้ขา 10 กิโลเมตร เพื่อมาเข้าเส้นชัย เหมือนใครๆอีกหลายคนก็ได้ แต่เพราะมันเป็นประเพณี ผมจึงอยากจะมีส่วนร่วมบ้างก็เพียงเท่านั้น
โดยสองครั้งล่าสุด ผมใช้พลังใจในการก้าวเท้าวิ่งมากกว่ากำลังกายที่มี
ทุกๆปี ในเดือน ธันวาคม ทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จะจัดการวิ่งประเพณี ระยะทาง 10 กิโลเมตร เริ่มวิ่งจากอนุสรณ์สถานมาเข้าเส้นชัยที่บริเวณสนามฟุตบอล มีนัยเพื่อเป็นการทดสอบสมรรถภาพของเจ้าหน้าที่ของเขตเอง และเป็นการได้พบปะพูดคุย เชื่อมสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานที่ทำงานอยู่ตามศูนย์พิทักษ์ป่าต่างๆ รอบป่าภูเขียว
ทั้งนี้จะมีการแข่งขันกีฬาฮาเฮ กีฬาที่ใช้ทักษะของผู้พิทักษ์ป่า เช่น แข่งประกอบปืน แข่งเดินเข็มทิศ และกีฬาสากล อย่าง ฟุตบอล วอลเล่ย์บอล ตะกร้อ ให้ทุกคนในเขตได้มีส่วนร่วม ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ที่ปีหนึ่งจะได้มาพร้อมหน้าพร้อมตากัน บางครั้งก็อาจจะมีแขกรับเชิญจากหน่วยงานใกล้เคียง หรือภาคเอกชนอื่นมาร่วมด้วย
ซึ่งการวิ่งประเพณีนี้ได้จัดมาแล้ว 11 ครั้ง โดยในช่วง 7 ปีหลังนี้ จัดติดต่อกันมาตลอด
ชุดทีมวิจัยลิงก็ได้เข้าร่วมมาทุกปีเช่นกัน และก็กลายเป็นสีสันหนึ่งของงาน ที่จะมีชาวต่างชาติผมสีทอง มาร่วมวิ่ง 10 กิโลเมตร ให้หน้าแดงเป็นมะเขือเทศแต่ยังยิ้มได้หรือบางปีก็วิ่งเข้าเส้นชัยเป็นที่หนึ่ง ชนิดทิ้งคนไทยไม่เห็นฝุ่น และมาร่วมเล่นเกมส์ฮาเฮต่างๆ ทั้งกินวิบาก วิ่งสามขา เรือบก ตีไก่ วิ่งกระสอบและอีกมากมาย กับเจ้าหน้าที่ชาวไทย
มันช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความสนุกสนาน เมามัน และเหน็ดเหนื่อยไม่แพ้กัน
โอ้...กลิ่นน้ำมันมวยในตอนรุ่งสาง...รสชาติอร่อยของไอศครีมและอาหารหลากหลายในตอนสาย...เสียงเพลงเชียร์หลายทำนองตอนหลังเที่ยง...การแข่งขันที่เข้มข้นปนรอยยิ้มในยามบ่าย...ของรางวัลและของฝากในยามเย็น
แต่สำหรับความสนุกสนาน และเครื่องดื่มดีกรีสูงนั้น มีให้เห็นได้ตลอดทั้งวัน
ผมไม่แน่ใจว่าปีนี้ ผมจะวิ่งได้เวลาดีกว่าเดิมหรือไม่ กับ 53 นาที ใน 10 กิโลเมตร ก็ได้แต่หวังว่า การซ้อมวิ่งเล็กๆน้อยๆสักอาทิตย์ กับการเดินขึ้นเขาลงห้วยระหว่างทำงานตามลิงในป่า จะช่วยให้ผมวิ่งได้ดีขึ้นกว่าเดิม หรืออย่างน้อย ก็ไม่มีอาการปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัวหลังจากวิ่งเสร็จ
เมื่อวันวิ่งประเพณีมาถึงในปีนี้ ก็เป็นอันว่า ผมได้ทำงานมาครบอีกหนึ่งปีแล้ว ในการเป็ฯผู้ช่วยนักวิจัยของงานศึกษาพฤติกรรมสังคมของลิงวอกภูเขา และในปีนี้ ผมก็ทำงานมาครบ 7 ปีพอดี
7 ปีแล้ว กับชีวิตในป่าภูเขียวและลิงอ้ายเงี้ยะ!
ชีวิตในป่าบางวัน เวลาก็เดินเร็วเหลือเกิน ปุ๊บปั๊บก็เช้า ต้องตื่นนอน ขับมอเตอร์ซ์ผ่าม่านหมอกไปทำงาน หรือเดินตามลิงตัวนั้นตัวนี้ แป๊บเดียวก็มืดค่ำ ลิงทยอยขึ้นต้นนอน ต้องเดินออกจากป่าท่ามกลางฝูงหิ่งห้อยวิบวับตามทาง
แต่บางวันก็เหมือนว่า เข็มนาฬิกาจะขี้เกียจเดินขี้เกียจหมุน กว่าจะเคลื่อนข้ามไปได้แต่ละนาทีช่างยากเย็นแสนเข็ญ เดินตามลิงจนปวดขา เมื่อยคอ เข็มสั้นก็ยังไม่หนีไปจากเลขสามสักที
จริงๆแล้ว คงเป็นเพราะห้วงอารมณ์ในแต่ละวัน ที่ทำให้รู้สึกว่าเวลาเดินช้าเดินเร็ว ต่างกัน ไม่เท่ากัน กับหัวใจ
พอเงยหน้าขึ้นมองปฎิทินวันนี้ ก็ให้ตกใจในความก้าวกระโดดของเวลา
7 หนาว 7 ร้อน 7 ฝน แล้ว ที่อยู่ด้วยกันกับเพื่อนหน้าขนฝูงนี้มา
ถึงตอนนี้หากมองย้อนกลับไป ผมร็สึกว่า ช่างรวดเร็วเหลือเกิน จากปีแรกถึงปีนี้ ผมยังจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า เดือนแรกของปีแรกที่เริ่มมาทำงานในป่า ผมรู้สึกอย่างไร?
...ตื่นเต้น และมีความสุข แต่ก็สงสัยว่า ผมจะทำงานอยู่ที่นี่ได้นานสักเท่าไหร่....
และหากจะบอกผมตอนนั้นว่า ผมจะทำงานอยู่กับลิงได้ถึง 7 ปี ผมคงไม่เชื่อเป็นแน่...แต่ตอนนี้ ก็ 7 ปีแล้ว
อาจจะดูมากและอาจจะดูน้อยเมื่อไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ในที่อื่น ซึ่งผมก็ไม่คิดถึงการเปรียบเทียบกับอะไร ใคร ที่ไหน เพราะเวลาที่ผ่านไป เป็นช่วงเวลาของผม กับผืนป่าภูเขียว กับฝูงลิงอ้ายเงี้ยะกับทีมงานกับชีวิตในแต่ละฤดูกาล ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมือนใครและมีคุณค่าในตัวเองโดยไม่ต้องเทียบกับสิ่งใด
ใครๆก็มองว่า การทำงานกับลิงที่ต้องเดินป่าทุกวัน เป็ฯงานที่น่าสนุก ตื่นเต้น เร้าใจ และอีกอื่นสารพัดอารมณ์ในแง่ดีดี ซึ่งมันก็ใช่ แต่นั้นเป็นการมองเฉพาะช่วงที่สนุก ตื่นเต้น แต่ว่างานทุกงานย่อมมีช่วงที่หนัก ให้เหนื่อยทั้งกายทั้งใจเสมอ และคนที่ไท่ได้มาสัมผัสโดยตรง คงไม่รู้สึกถึงจุดนั้นๆ
บางวันผมก็นั่งร้องเพลง เดินร้องเพลงขณะทำงาน แต่บางวันก็อยากร้องไห้และถามตัวเองว่า ผมมาทำอะไรในที่แบบนี้ พร้อมกับปาดเหงื่อที่ไหลอาบแก้ม- ยืนยันว่าไม่ใช่น้ำตา
การได้ชุ่มโชกจากสายฝนบางวัน ก็ช่างเย็นฉ่ำชื่นใจ แต่บางวันก็เหมือนฟ้าจะกลั่นแกล้งให้เปียกปอนจนเหน็บหนาว รวดร้าวไปถึงทรวงใน
แสงแดดอุ่นๆในบางเช้า แม้นจะสาดส่องทะลุแมกไม้ลงมาเพียงเล็กน้อย ก็เป็นคุณประโยชน์อย่างอนันต์ แต่ในบางเช้าลำแสงสีทองก็กลายเป็นผู้ร้ายต่อสายตา เป็นอุปสรรคในการมองหาลิงอย่างมหันต์
บางวันที่ลิงไม่เดินทางไปไหนไกล นั่งกินนอนกิน เดี๋ยวนั้งหลับ เดี๋ยวจับคู่ทำความสะอาด ก็ทำให้การทำงานมีความรื่นรมย์อย่างสุดๆ แต่พออีกวันที่ลิงทำพฤติกรรมเดียวกัน ผมก็เดิกพาล หาว่าลิงขี้เกียจ ทำให้คนขี้เกียจและเบื่อหน่ายโมงยามไปด้วย
บางวันลิงเดินทางหากินไปไกลมากสองมาก ผมก็ไม่บ่น- เพราะไม่มีแรงบ่น
บางวันผมก็มีกับข้าวแสนอร่อยกิน แต่บางวันผมต้องกินเพื่ออิ่ม เพื่อให้มีเรี่ยวแรงตามลิง
บางวันก็เหมือนว่าเพื่อนหน้าขนจะเข้าใจและเห็นใจ ไม่เดินทางไกล แถมลงมาหากินบนพื้นหรืออยู่ต่ำ ให้ทำงานง่ายๆ แต่บางวันก็เหมือนจะแกล้งหรือเอาแต่ใจตัวเอง พอตื่นลืมตาก็กระโจนตูมตาม เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ บนยอดไม้ ไม่หยุดไม่หย่อน แม้นสักนาที
การทำงานในป่าภูเขียว ซึ่งเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์อย่างมาก- ผมนึกไม่ถึงว่าในภาคอีสานของประเทศไทยจะมีความมั้งคั่งแห่งพงไพรอย่างนี้หลงเหลืออยู่, ทำให้ผมได้พบเห็นสัตว์ป่าหลายชนิดไล่มาตั้งแต่ เจ้าป่าตัวจริงเสียงจริงที่ไม่ใช่สิงโต แต่เป็น ช้างป่า ที่ผมได้ประสบพบเจอจังๆ เกิน 10 ครั้ง ในระยะไม่เกิน 10 เมตร บ่อยครั้งพ่อแก้วแม่แก้ว เจ้าป่าเจ้าเขาและสิ่งศักด์สิทธ์ก็ได้ออกมาช่วยช้างให้พ้นจากอันตรายจากผม
แต่ส่วนมากจะเป็นต้นไม้ใหญ่ที่เป็นป้อมปราการแห่งชีวิตให้ผมได้อุ่นใจ และให้ช้างไม่ตกใจกลัวผมจนเกินไป
แม้นว่าขนจะลุกกี่ครั้ง แต่ผมก็ยังอยากจะดู อยากจะเห็น ว่า เวลาช้างอยู่ในป่ามันจะหน้าตาเป็นอย่างไร 
ผมเจอช้างในป่าไม่เท่าไหร่ เพราะมีทางให้หลบหลายทาง แต่หากเจอบนถนนตอนฝนตกพรำๆ แสงสลัวๆนี่สิ เป็นอะไรที่บอกไม่ถูกเลย- ไม่ใช่ว่ากลัวนะครับ เพียงแค่เกร็ง
และมีสองครั้งกับการเฉียดตายกับ กระทิงโทน ที่พุ่งเข้าใส่ผมแบบไม่ให้ตั้งตัว ดีที่ 2วินาทีสุดท้าย สติกลับคืนมา ผมเลยนอนหมอบลงกับพื้นหน้าต้นไม้ใหญ่  กระทิงก็วิ่งหลบต้นไม้และพลาดการสอยไส้ผมไป
กับฝุงหมูป่าและหมุเดี่ยวนี้ ได้ยินเสียงกระแทกลมหายใจครั้งแรกทีไร เป็นต้องขนลุกขนพองทุกที ทั้งคนทั้งหมูต่างตกใจกันเอง แต่ผมยังจำนาทีที่ลูกหมูน้อย 4 ตัว ที่เพิ่งคลอดไม่นาน เดินทำจมูกฟุดฟิด ผ่านหน้าผมไป เพียงไม่ถึง ครึ่งเมตร ในขณะที่ผมยืนนิ่ง หรี่ตามองความน่ารักของขบวนลูกหมูชุดลายขาวดำ
ส่วน งู นั้น ไม่ต้องถาม อยู่ในป่าเขาไม่ให้พูดถึง งู ยกเว้นตอนที่กำลังจะเหยียบ ไอ้ตัวที่นอนอยู่บนทาง นั้นแหละ
อีกทั้ง หมาใน ทั้งฉายเดี่ยวทั้งมาเป็นฝูง ครั้งหนึ่งไปเจอ 10 กว่าตัว กำลังเลาะเล็มเนื้อกระทิงอยู่แถวโป่ง เห่าหอนกันซะ อย่างกับผมจะไปแย่งมันกินอย่างนั้นแหละ
และที่เห็นบ่อยๆ ก็เป็น กระจงน้อย หมูริ่ง และก็ อีเห็น ชะมด หมาไม้ พญากระรอก
โอ้...เกือบลืม ญาติของ วินนี่ เดอะ พูห์ ที่ไม่ณุ้ว่าจะรับมือยังไงหากโดนจู่โจม โชคดีที่บ่อยครั้ง จะเห็นช่วงที่มันกำลังกินผลไม้อยู่บนต้น แต่มีครั้งหนึ่ง มองเห็นลูกหมีสองตัวกำลังเล่นกันอยู่บนต้น ก้ยืนดู แต่ประเดี๋ยว ตัวแม่ก็คำรามออกมาพร้อมกับไถลตัวลงมาจากต้นไม้ถึงพื้นในชาวพริบตา แล้วคำรามอีกครั้ง เล่นเอาหัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม กว่าจะมอบๆคลานๆหนีออกมาจากตรงนั้นได้ ก็เสียวสันหลังแทบแย่
ฉะนั้น พอผมได้ยินเสียงคล้ายคนเดาะลิ้นทีไร เป็นต้องหลีกหนีจากตรงนั้น เพราะนั่น คือเสียงของหมี ไม่ต้องรู้ว่าเสียงตัวเล็กตัวใหญ่ หรือว่ามันกำลังทำอะไรอยู่หรอกครับ รีบๆเปลี่ยนทางดีกว่า
และแน่นอน ผมได้รู้จักลิงและไพรเมทชนิดอื่นๆด้วย ได้รู้ว่า ชะนีไม่มีหางและค่างหางยาวมาก 
ผมอยู่กับฝูงสตั้มปี้มา 7 ปี ได้พบได้เห็นความเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นในฝูง
ตั้งแต่เริ่มตามลิงใหม่ๆ ผมยังไม่แน่ใจว่า การเดินชมนกชมไม้ไปวันๆ จะทำให้ลิงคุ้นเคยได้ แต่พอถึงวันนั้น วันที่ลิงเริ่มคุ้นเคยกับทีมวิจัย ผมถึงกับทึ่งและดีใจ ที่มันสำเร็จได้จริงๆ
กับการทำให้ลิงคุ้นคน ....กับเวลาเกือบ 1 ปี ที่ลงแรงกันไป
แล้วพวกเราก็เริ่มสังเกตลิงแต่ละตัว วาดรูปหน้า หาง หรือ อะไรก็แล้วแต่ที่เป็นจุดเด่น เพื่อจดจำและตั้งชื่อ เริ่มบันทึกพฤติกรรมอย่างคร่าวๆ จนกระทั่งก้าวเข้าสู่การบันทึกอย่างละเอียดในทุกๆวินาทีอย่างในปัจจุบัน และเปลี่ยนจากการบันทึกข้อมูลในกระดาษมาเป็น พีดีเอ
ผมนึกแล้วก็ขำกับ การตามเก็บตัวอย่างจากลิงแต่ละตัว เพื่อนำไปวิเคราะห์ดีเอ็นเอและฮอร์โมน เราทำเหมือนกับว่า มันเป็นดั่งทองคำหรือเม็ดเพชรพันล้าน ที่ต้องตามล่าตามหามาให้ได้ ไม่ว่าจะตกอยู่ลึกลงไปในกองไม้รกๆ หรือค้างอยู่บนกิ่งไม้สูงๆ ก็ต้องเก็บมา 
บางตัวตามทั้งวันก็ไม่คลายก้อนทองออกมา บางตัวก้สามสี่ครั้งต่อวัน เวลาจะนั่งกินข้าว ต้องคอยดูดีดี ว่าเป็นเส้นทางที่ลิงจะผ่านมาหรือเปล่า ไม่งั้นระหว่างที่กำลังเอร็ดอร่อย อาจจะเจอแจ็คพอดกลางวงได้ ซึ่งก็เกิดขึ้นบ่อยๆ แม้นว่าจะมองดูทิศทางในการเคลื่อนที่ของลิงแล้วก็ตาม
ความใคร่รู้ว่าใครเป็นพ่อของลูกลิงในแต่ละปี ทำใหเราเพ่งเล็งที่ก้นของลูกลิงที่เกิดใหม่จนตาแทบเข๋ แต่ดูเหมือนว่า บางครั้งการกินนมเพียงอย่างเดียวจะทำให้ลูกลิงท้องผูก จนไม่มีอะไรหลุดออกมาเลย
ลูกลิงบางตัวผมได้เห็นตั้งแต่แรกคลอด จนตอนนี้ กลายเป็นแม่ลิง มีลูกเป็นของตัวเองแล้ว อย่าง ซิมบ้า และลูกลิงบางตัวก็จบชีวิตตั้งแต่วัยเด็ก ไม่สามารถก้าวผ่านความโหดร้าย เพื่อเติบโตมาเล่นซนกับเพื่อนๆได้ และอย่างที่เคยบอกไว้ ว่าส่วนใหญ่ จะเป็นลูกลิงที่ผมตั้งชื่อให้ทั้งนั้น
การหายตัวไปของสาชิกในฝูงทุกครั้ง สร้างความเศร้าโสกให้กับผมเสมอ ยิ่งเป็นลูกลิงที่เกิดใหม่ซึ่งช่วยตัวเองไม่ได้ด้วย แต่สำหรับการจากไปของลิงตัวใหญ่นั้น แม้นมันเป็นอะไรที่เข้าใจได้เมื่อทุกตัวมีเวลาติดตัวมาและภาระหน้าที่ หากแต่ผมก็ยังหม่นหมองในใจ และได้แต่หวังว่า พวกมันคงดูแลตัวเองได้
ลิงแก่ในฝูงที่หายหน้าไปแล้ว ไม่ได้เห็นอีกเลย ก็มี ตาพังค์ กับ ตาสปั้ด
ส่วนที่ยังเห็นหน้าเห็นหนวดก็มี อ้วนขาว-เจ้านายและ อ้วนดำ-คอพพี่ ที่ย้ายไปอยู่กับอีกฝูง
แต่ที่เห็นว่าหมดลมหายใจนั้นก็มี ศอก และ แว่นตา จ่าฝูงที่โดนเล่นงานจนชีวิตไม่หลงเหลือ
สำหรับการเปลี่ยนจ่าฝูงนั้น หากจะดูเพียง ช่วงปีที่ 1-2 นั้น ก็คงสรุปได้ว่า ลิงอ้ายเงี้ยะ ไม่มีการใช้ความรุนแรงเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะไม่มีใครต้องบาดเจ็บ เมื่อเปลี่ยนจากเจ้านายมาเป็นแว่นตา ที่ขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งแทน
แต่พอมาถึงช่วงปีที่ 3-4 วึ่งก็มีกสนเปลี่ยนจ่าฝูงอีกครั้งและคราวนี้ จ่าฝูงตัวเดิมถึงกับต้องสังเวยชีวิตใหกับความพ่ายแพ้ และทำให้มองได้ว่า การเปลี่ยนแปลงจ่าฝูงนั้น ต้องใช้ความรุนแรงและต้องฆ่าจ่าฝูงก่อนถึงจะแทนที่ได้
ซึ่งข้อมูลที่ได้ มันไม่ใช่ความจริงทั้งหมดของการเปลี่ยนแปลงจ่าฝูงในลิงอ้ายเงี้ยะ
หรืออย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงจ่าฝูงของตัวเมียนั้น ก้เพิ่งเกิดขึ้นกันไปในปีที่ 7 นี้ หากว่าเราทำวิจัย 5 ปี แล้ว จบ ก้คงบอกว่า ในตัวเมียจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหรือจะเกิดขึ้นไม่บ่อย อะไรทำนองนี้
ดังนั้น การทำงานวิจัยในระยะยาว จะช่วยให้เราเข้าใจ ระบบระเบียบ วงจรชีวิต และพฤติกรรมทางสังคมต่างๆของลิงมากขึ้นและมีความถูกต้องยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้เวลานำข้อมูลไปใช้ประโยชน์จะได้มีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด
การได้เจอหน้ากันเกือบทุกวันทั้งปี ทำให้เกิดความผูกพันกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้นว่าจะเป็นเพียงฝ่านเดียวก็ตาม ผมรู้สึกว่า เหมือนตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคมลิงและรู้สึกอุ่นใจหากต้องทำงานคนเดียวในป่า
แต่ถึงกระนั้น ญาติผู้ใหญ่ในฝูง มักจะทำเป็นไม่สนใจผม และไม่เห็นผมในสายตาเลย เวลาเดินผ่านหรืออยุ่ใกล้กัน ผมทักทายก้ไม่เคยหันมามอง
ผิดกับพวกตัวเล็กๆ ที่เริ่มสนใจผมเป็นพิเศษตั้งแต่เลิกสนใจหัวนมแม่ตัวเอง บางทีถึงขั้นจะรุมทึ้งผมก็มี จนผมต้องคอยระวังตัวไม่ให้ตกอยู่ในวงล้อมของพวกจอมซน หรืออยู่ใกล้หัวหน้าแก็งค์ของพวกมัน ที่ไม่เคยเกรงใจอะไรเลย
แต่ด้วยความเคารพในลิงอาวุโสและความน่ารักน่าเอ็นดูของลิงน้อย ผมจึงไม่ว่าอะไร ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
การอยู่ด้วยกันกับฝูงลิงนานทำให้ผม เริ่มมีขนขึ้นตามตัวและเริ่มมีหางงอกออกมา....ไม่ใช่ แต่มันทำให้ผมได้ซึมชับและเรียนรู้อะไรหลายอย่างจากวิถีชีวิตของลิงเช่น
การเล่นของเด็ก ไม่ใช่เพียงแต่เป็นเรื่องของความสนุกเท่านั้น แต่ยังเป็นการฝึกฝนทักษะต่างๆ ที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน รวมทั้งการได้รู้จักเพื่อนและรู้จักสังคม
เด็กๆไม่จำเป็นต้องมีเครื่องเล่นอะไรมากมาย เพียงแค่มีหัวใจแห่งความไร้เดียวสา ก็สามารถทำให้ทุกอย่างรอบตัว สนุกรื่นรมย์ได้ ไม่ว่าจะเป็น กิ่งไม้ ใบไม้ หรือหัวนมแม่
การปกครองของหัวหน้านั้น ต้องมีทั้งพระเดชและพระคุณไปพร้อมๆกัน ถึงจะทำให้สังคมสงบเรียบร้อย
การดำรงชีวิตของลิงเป็นการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงที่แท้จริง ไม่มีการสะสม ไม่มีการประดับประดา หิวก็กิน เหนื่อยก็พักผ่อน มืดก็เข้านอน เช้าก็ตื่น
และอีกหลายๆเรื่องที่ ผมนำมาปรับใช้กับชีวิตตัวเอง
ลิงบางตัวมีจุดเด่นให้จดจำได้ง่าย ลิงบางตัวก็ดูธรรมดาแต่ผมก็(ต้อง) จำได้ และผมคิดว่า ผมจำลิงได้ทุกตัว ที่เคยร่วมทางกันมาในป่าภูเขียวตลอด 7 ปี....ไม่ได้โม้
ส่วนเพื่อนร่วมงานที่เหน็ดเหนื่อย ยิ้มแย้ม มึนเมา บ้าบอ ร่วมกันมานั้น ผมก็ไม่เคยลืม เรื่องราวและช่วงเวลาของแต่ละคนเลย
ไล่มาตั้งแต่สมัยแรกเริ่มประเดิมโครงการวิจัย กับสองเสือร้ายจากเมืองลุงแซม บริกแฮม และแดน ต่อมาก็เป็นสาวจากเมืองเบียร์ มาเรีย แล้วจากนั้นก็เริ่มมีผู้ช่วยนักวิจัยชาวไทยเข้ามา นอกเหนือจาก พี่สายันต์ และพี่เวทย์ ที่เป็นเจ้า หน้าที่ของเขต ที่มาทำงานร่วมกัน แล้วจากนั้น ก็เป็น พี่มี่ สาวตัวเล็กใจใหญ่ คุณตั้ม นักกีฬาสาวแกร่ง แล้วก็ นายเอม หมอยาและหมอพันธุ์ไม้
จากนั้นโครงการก็เริ่มมีนักศึกษาปริญญาเอกเข้ามาเก็บข้อมูลภาคสนาม 2 คนแรก คือ อิเนส และ เซบาสเตียนจาก เมืองเบียร์ บ้านเดียวกันกับหัวหน้า แล้วจากนั้น นายวัช ก็โยกจากห้วยขาแข็งเข้ามาอยู่กับเรา พร้อมกับนักศึกษาชุดใหม่ คือ มารีส และ แซลลี่ แล้วก็เป็น หมู นัด บ็อบบี้ หยก น้องอ้อ และน้องจุ  ที่มาแทนคนที่ออกไป จากนั้น ก็มี โจซี่ แอนเดรีส มาเป็น นักศึกษา ป. เอก ชุดใหม่ พ่วงมาด้วย  คริสตีน สาวหัวงูเก็งกอง ที่มาเก็บข้อมูลปริญญาโท
คนมากมาย งานมากมาย แต่ทุกอย่างในโครงการก็ดำเนินไปได้ด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ ด้วยความสามารถอันหาสิ่งใดเปรียบได้ของเจ๊มิ มิรันดา ผ็จัดการภาคสนามชาวกังหันลม ที่คอยเป็นหูเป็นตาและดูแลโครงการแทนหัวหน้า
เวลาผ่านไปแล้วไม่หวนกลับบางอย่างอาจทรุดโทรม เสื่อมสภาพไป หากไม่ดูแลรักษา
ใครบางคนบอกว่า ชีวิตแสนสั้น ใช้ชีวิตให้คุ้มซะ แต่อย่าสิ้นเปลืองชีวิต
ผมไม่อยากจะเชื่อว่า ผมจะใช้เวลาเดินอยู่ในป่ากับฝูงลิงอ้ายเงี้ยะ มาถึง 7 ปีแล้ว
และเมื่อมองกลับไป มันเป็นช่วงเวลาที่มีทั้งความสุขและความทุกข์ แต่ส่วนใหญ่แล้ว มันจะผสมกันไป อธิบายไม่ถูกว่า มันสุขหรือทุกข์กันแน่ เพราะคาบเกี่ยวอยู่ตรงกลางของเส้นแบ่ง
แต่ผมก็ถือว่า มันเป็นช่วงชีวิตที่ดีช่วงหนึ่ง
ขอบคุณผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ ขอบคุณฝูงลิง ขอบคุณทุกความสัมพันธ์ที่เข้ามา
และ ขอบคุณ คุณ ที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงวันนี้ หน้านี้ และบทนี้
....................................................................
ปล.
1.ช่วงเวลาแห่งการหลั่งเลือดของคนคือหน้าฝน ทีเหล่าทากดูดเลือดพื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง
ส่วนช่วงเวลาแห่งการหลั่งเลือดของลิงคือหน้าหนาว ที่เริ่มต้นฤดูผสมพันธ์ ซึ่งจะมีการทะเลาะวิวาทกันรุนแรง
2.ผลไม้ชนิดเดียวกัน แต่คนละต้น คนละพื้นที่ ก็อร่อยแตกต่างกัน
3.ทีมวิจัยเคยทำการพยายามตามลิงกัง เพื่อทำให้คุ้น แต่ทำอยู่ 2 ปี ก็ต้องโบกมือลาไป เพราะไม่มีความก้าวหน้าให้เห็นแม้แต่น้อย
4.ลิงอ้ายเงี้ยะก็ผายลมเหม็นเหมือนเพื่อนคุณ
 



Thank you very much for waliking with us till the end of this page!










 

Impressum

Tag der Veröffentlichung: 21.11.2015

Alle Rechte vorbehalten

Nächste Seite
Seite 1 /